[quote/]
อันที่จริงถ้าใครอ่านในนิยายของผม นิยายที่ผมแต่งก็เป็นนิยายแฟนตาซี+การเมืองนะ ผมมองว่าชีวิตของเราทุกคนหนีการเมืองไม่ได้อยู่แล้ว เราอยู่ตั้งแต่เกิดกับมันจนวันตาย
เพราะชีวิตเราถูกกำหนดให้มีสิทธิ หน้าที่และความรับผิดชอบต่อสังคม ระหว่างพ่อแม่กับลูกก็เป็นการเมืองนะครับ ถ้าใครสังเกตกันดีๆ
ลูกมีหน้าที่ตั้งใจเรียนเพื่อหาความรู้ให้มากที่สุดเพื่อวันหนึ่งเราจะสามารถหาเลี้ยงชีพตนเองได้อย่างสุจริตเพื่อซักวันหนึ่งจะเลี้ยงดูพ่อแม่กลับ
ส่วนพ่อแม่ก็มีหน้าที่หาเงินส่งเสียลูกเรียนให้จบ พร้อมกับอบรมสั่งสอนให้ความอบอุ่นแก่ลูก เพื่อให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดูแลตนเองได้
ถ้าเราวิเคราะห์องค์ประกอบ มันก็จะประกอบด้วยสิทธิ(ผลประโยชน์) หน้าที่และความรับผิดชอบ เป็นกลไกแสดงความสัมพันธ์ของทุกๆปฏิสัมพันธ์
ยกตัวอย่างอีกเคสหนึ่งของความสัมพันธ์
พอเราเข้าโรงเรียน เรียนหนังสือกับอาจารย์ มันก็จะเกิดความสัมพันธ์การเมืองกับอาจารย์ที่สอนเรา
เด็กมีหน้าที่และความรับผิดชอบคือการตั้งใจเรียน ผลประโยชน์ก็เพื่อที่จะหาเลี้ยงชีพเองได้ในอนาคต
อาจารย์มีหน้าที่และความรับผิดชอบคือสอนหนังสือ ผลประโยชน์ก็คือเงินเดือนและสวัสดิการ
จะเห็นได้ว่าไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานะไหน ทุกอย่างมันก็คือการเมืองอยู่แล้วครับ แค่เป็นการเมืองภาพเล็ก หรือ การเมืองภาพใหญ่มันก็แค่นั้นแหละครับ
เหมือนกฎแห่งกรรมที่ไม่มีใครสามารถหนีพ้น เกิด แก่ เจ็บ ตาย ได้ การเมืองก็เป็นเฉกเช่นเดียวกันครับ
ถ้าคุณถามผมว่าการเมืองคืออะไร การตีความของผม การเมือง คือ "การบริหารจัดการคนให้สัมพันธ์กับทรัพยากรภายใต้บทบาทหน้าที่และสิทธิ์ของแต่ละคน"
ในเมื่อเราหนีไม่ได้ ทำไมเราไม่เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันละครับ ไม่ว่าจะเป็นการเมืองภาพใหญ่ หรือ การเมืองภาพเล็ก
การเมืองเกี่ยวกับทุกคนแต่ไม่ควรเอามาใส่ใจทุกคนครับ
คนเรามีหน้าที่หลักและหน้าที่รอง
ผมมองว่าการเมืองเป็นเรื่องรอง
แต่หน้าที่รองถ้ามันทำให้หน้าที่หลักพัง ก็ควรหยุดครับ
มันไม่ใช่ว่าทุกคนจะบริหารได้ทุกคน
เหมือนการก่อหนี้นั่นแหล่ะครับ จริงอยู่ว่าการก่อหนี้เพื่อลงทุน อาจจะทำให้ชีวิตดีขึ้น
แต่ผมกล้าฟันธงเลยเกิน 90% คนที่ME้
ME้ไปใช้จ่ายในส่วนที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
ในประเทศไทย ถ้าผมจำไม่ผิดมีเป็นล้านคนเลยนะครับที่ME้เงิน นอกธนาคาร แล้วรับดอกเบี้ยมหาโหด
อย่างบัตรเครดิท เป็นเรื่องดี แต่ทำคนพังไปกี่คนแล้วครับ
ส่วนการเมือง ผมไม่แน่ใจว่าคนโดนฟ้องหลักแสนบาทโดนไปเกิน พันคนรึยัง ในรบ.ชุดนี้
แต่ทำคนโดนไล่ออกจากงานไปเยอะอยู่
ต่อให้จะมีคน หนึ่งในพันที่บริหารชีวิตไม่ได้
แต่ประชากรมีฐานเสียงเสื้อส้ม 6 ล้านได้
แปลว่า การเสียสละอนาคตส่วนนึงของคน 6 พันคนเป็นเรื่องเหมาะสมหรอครับ
อย่างหมอบางคนคันปากจนโดนไล่ออกจากงาน
โอเคเป็นเรื่องที่เค้าทำตัวเองหางานในไทยไม่ได้ก็อาจจะไปหาที่ต่างประเทศ
แต่ถามว่าเขาพร้อมหรือครับ บางทีอาจต้องเลิกกับแฟน ต้องเคลียร์หนี้ที่ก่อเพราะตกงาน
ขนาดคนฉลาดระดับเรียนหมอชีวิตยังพังเลย
แล้วจะไปว่าคนที่ไล่ออกก็ไม่ได้
เพราะใครที่อยู่ในโซเชี่ยลน่าจะเคยได้ข่าวคนตกงานเพราะปากอยู่ไม่สุข ก่อนรบ.ชุดนี้จะมาอีก
เรียกว่าถึงไม่โดนไล่ออกแต่ชีวิตก็ยุ่งยากแน่ๆ
แต่ก็โอเคครับ เขาบรรลุนิติภาวะละ
แต่พวกที่ไปปั่นให้เด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ไปยุ่งการเมืองนี่คืออะไรครับ
ส่วนใหญ่ยังไม่ได้เสียภาษี ยังไม่มีแม้สิทธิ์เลือกตั้งด้วยซ้ำ
ทำไมไม่ไปเกณฑ์เด็กอนุบาลไปชุมนุมด้วยเลยล่ะ
ใช่ครับ ทุกคนเกี่ยวข้องกับการเมือง แต่ถ้ารู้การเมืองมากๆแล้วชีวิตจะพัง จะไปรู้มันทำไมครับ
บางคนในบอร์ดยังรู้สึกไม่ดีที่พ่อแม่ไปอยู่ฝั่งตรงข้ามตัวเองเลย
ใช่ครับ การเมืองเกี่ยวข้องกับทุกคน แต่การเมืองไม่ดีอาจจะพังวันหน้า
แต่คนที่หมกมุ่นการเมืองมาก อาจจะพังวันนี้เลย
หลายคนอายุน้อยเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้
แต่บางคนเลี้ยงลูกมาเป็นสิบปี ต้องมาทะเลาะกันจนหนีออกจากบ้าน เพื่อการเมือง หรือจะโดนไล่ก็ช่าง
แต่ก็โอเคครับ เพราะไม่ใช่ชีวิตผมผมบริหารได้
ส่วนจะให้ผมเชื่อว่าการยัดเยียดการเมืองให้ทุกคนเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ผมคงไม่เห็นด้วย
ตอนสงกรานต์แดงเดือด ญาติๆผมทั้งฝั่งเหลืองแดงกำลังฉลองอย่างมีความสุข ดันมีคนเปิดข่าวขึ้นมา.......
ดีครับวันนั้นไม่มีใครเมา ทุกคนเลยเงียบๆไม่มีใครถกกัน แล้วก็แยกย้ายกันปรกติ แต่เชื่อเหอะทุกคนคันปากยิบๆ
แต่ในข่าวบางวงเหล้าเห็นว่ามีฆ่ากันตาย
ถ้าจะคิดว่าเดี๋ยวมันก็จะดีขึ้นเอง ก็ลองไปดูต่างประเทศได้ครับ
แทบไม่มีประเทศประชาธิปไตยแนวหน้าทางตะวันตกที่ไม่เคยเผาเมือง ยุโรปเห็นเผาเมืองกันเกือบครบแล้วมั้ง ประเทศดังๆ