[quote/]
ผมจะเปรี่ยบเทียบ อะไรในบ้านเราให้ฟังนะครับ ถึงเรื่องงานที่ไม่มีใครทำ
งานบางอย่างมันไม่มีใครทำ เพราะครั้งนึงมันไม่คุ้มค่าที่จะทำ ค่าแรงน้อย งานหนักเยอะ สวัสดิการอะไรไม่มีจ่ายเองหมด
เอาค่าแรงมาหักค่าข้าวไปแล็วก็เหลือไม่กี่บาท แล้วสุดท้ายใครจะทำครับ
อย่างงานในห้างสมัยก่อน เคยไปทำ ค่าแรงอยู่ที่ 300 แต่ข้าวข้างใน จานล่ะ 45 กลางวัน+เย็นล่อไปแล้ว 90
สวัสดิการอื่นๆ แทบไม่มี มันก็จะ OK สำหรับคนว่างๆ ไม่มีอะไรทำ ล่ะนะ แต่สำหรับคนที่คิดจะทำยาวๆ แล้วมันไม่มีใครทำแน่ๆ สุดท้ายพอคนขาดหนักเข้า มันก็ต้องขึ้นค่าแรงหรือสวัสดิการให้
คนเข็นผักในตลาด นี่ก็เคยเห็น ค่าแรงแค่ 200 ตี2 ถึง8โมง ให้แค่นี้สุดท้ายเลยไม่มีคนไทยมาทำ เอาเขมรมา เงินน้อยหักข้าว กับที่พักแล้วไม่พอ มันก็ไม่ทำหลอกนะ สุดท้ายไม่มีคนทำคนขายผักต้องเข็นเอง(แม่งก็ทำไม่ไหวอยู่ดี) เลยขึ้นเป็น 400 เลี้ยงข้าว+มีที่พักให้อีก สุดท้ายมันก็เลยมีแต่เขมรมาทำนั่นแหละ เพราะคนไทยด้วยกันมันเชื่อฝังหัวลงไปแล้วว่าค่าแรงน้อยไม่พอคน
ต้นตอปัญหามันอยู่ตรงไหน? คนขี้เกียจทำงานเหรอ นายจ้างมันแค่อยากจ่ายน้อยที่สุดแค่นั้นแหละ พอไม่มีคนทำจริงๆ แล้วก็บ่นว่าคนขี้เกียจไม่มาทำ งั้นไม่ต้องขึ้นค่าแรงสิ ดูซิว่าจะมีใครมาทำงานให้ใหม
เพราะสุดท้ายที่ปัญหามันจบ เพราะมันขึ้นค่าแรง + แถมสวัสดิการให้ต่างหาก
ก็ใช่ ก็ถูกนิ?? เพราะงั้นโจไบเดนจึงใช้ทั้งมาตรการไม้อ่อนผสมไม้แข็ง อย่างบ้านเรา
เพราะไปเพิ่มสวัสดิการ เช่นมีข้าวให้กินฟรี(โรงงานเพื่อนของผู้ตอบทั้งหลาย ก็เคยเล่า
ผู้ตอบก็เห็นมากับตาหลายๆครั้ง บางครั้งก็อยากจะลองไปลิ้มลองอาหารที่ของพวกเขา
พวกเขากินจุ ประหยัด เขาจะกินให้อิ่มในมื้อเช้าที่ฟรี กินมื้อเที่ยงฟรีให้อิ่มจนช่วงเย็น)
มีสวัสดิการที่พัก พวกเขาไม่ต้องการที่พักที่ดีอะไร แต่ขอให้มี เพื่อจะได้ประหยัด
คนรับใช้ของเพื่อนที่เป็นแรงงานเมียนมา ต่อให้ได้เงินเดือนค่าแรงน้อยกว่าขั้นต่ำ แต่
ก็ไม่เคยคิดจะหนีไปทำงานอื่น อาจเพราะได้ทิปหลักเยอะๆทุกวัน บวกกับได้กินอาหารหรู
ของเจ้านาย ได้ที่พักอย่างดี
ได้ฟังท่านวิกลมด่าเสียๆหายๆเกี่ยวกับการขึ้นค่าแรง300ของอดีตนายกฯท่านนึง ตอนนี้
ก็สนใจว่า ท่านวิกลมจะตำหนิโจไบเดน ที่ขึ้นค่าแรงก้าวกระโดดมั๊ย เพราะท่านวิกลมพูด
อยู่เสมอว่า การขึ้นค่าแรงก้าวกระโดดแบบไม่ค่อยเป็นไม่ค่อยไป ไม่ให้กลุ่มทนเจ้าของธุรกิจ
ปรับตัว มันคือผลร้าย พร้อมยกตัวอย่างเวียดนามทุกทีที่ท่านบ่นเรื่องนี้
การปรับขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป มันก็เหมือนไม่มีอิมแพ็ค มันคล้ายๆการเยียวยาในตอนนี้
ที่ให้ขยักขย่อน มันเป็นการเลี้ยงไข้ โจไบเดนจึงกระตุ้นให้เป็นนัยสำคัญ ให้สร้างอิมแพ็ค
เหมือนกับการลดดอกเบี้ยเชิงนโยบาย ถ้าลดแล้วไม่สร้างอิมแพ็คให้ตลาด มันก็เป็นอาวุธไม่ได้
เหมือนกับการกระตุ้นอะไรๆ ถ้าค่อยๆกระตุ้นมันก็เปล่าประโยชน์
ตอนนี้ก็สนใจอยู่นะ กับการกระตุ้นภาคเศรษฐกิจของไทยเรา ที่เหมือนกับทำในมาตรการเชิงรับ
อย่างเดียว รอปัญหาเกิดแล้วค่อยตั้งคณะกรรมการ แล้วก็ทำงานโดยอ้างติดข้อบังคับ อ้างว่า
กำลังทำ กว่าจะกระตุ้นได้ก็ล้มตายกันพอดี อย่างมาตรการเยียวยา พึ่งจะเข็นเข้า ครม.มะรืนนี้
ทั้งๆที่โควิดระลอกสามมาเป็นเดือนกว่าๆแล้ว
อ้อ นึกถึงโจไบเดนกระตุ้นการจ้างงาน+เพิ่มค่าแรง ตอนนี้ก็กำลังนึกถึงสัญญาขึ้นค่าแรงเมื่อ
ตอนลุงตู่หาเสียง ผ่านมาสองปีหล่ะ เดี๋ยวก็คงอ้างว่าเพราะโควิด แต่ปีแรกจำได้ว่าโควิดยัง
ไม่มาทำไมไม่ทำ โจไบเดนสัญญาก่อนเลือกตั้ง พอชนะปุ๊บ ทำตามสัญญาในปีแรก ทำตอน
โควิดอีกต่างหาก อยากให้คนรักลุง ไปกระทุ้งหน่อย ว่านโยบายตอนหาเสียงต่างๆ ทำบ้างยัง
นี่ยังไม่นับการหางานมาป้อนให้ประชาชนอีก ปีที่แล้วนักศึกษาจบเท่าไร ตอนนี้เดินเตะฝุ่น ครั้นจะ
เห็นว่างานในประเทศไม่มี ก็พยายามรวมตัวกันช่วยชี้ช่องหางานในต่างประเทศ ก็โดนหาว่าไม่รักชาติ
แต่ดันไม่หางานมาป้อนให้เด็กๆจบใหม่ เดี๋ยวก็คงไล่เด็กๆที่จบตรี จบโท ให้ไปเปิดร้านขายกาแฟแหงๆ
ไล่ให้ไม่เลือกงานไม่ยากจน แล้วจะให้พวกเขาเรียนตรี เรียนโทกันทำไม