แบบที่นอกเหนือจากตระกูลนั้นนะครับ เพราะพูดถึงไปเมื่อกระทู้ก่อนที่ถูกย้ายไปห้องหมีหอบแล้ว
แต่เดิมเลย ผมเป็น Ignornace ทางการเมือง คือโตมากับมายาคติที่ว่าเด็กต้องไม่ยุ่งการเมือง การเมืองเป็นเรื่องไกลตัว พวกพูดเรื่องการเมืองคือคนบ้าจะมายุยงให้แตกแยก นักการเมืองเลว เสื้อแดงเผาเมือง ยิ่งลักษณ์โกงจำนำข้าว เด็กมีหน้าที่เรียน ต้องเป็นเด็กดีเชื่อฟังผู้ใหญ่ เดินตามรอยผู้ใหญ่หมาไม่กัด ความสุขเกิดขึ้นได้ด้วยตัวเอง รัฐไม่เกี่ยว เราเช่าที่เขาอยู่ และนานามายาคติที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กๆ
เหตุผลที่ผมเริ่มสนใจการเมือง คือการที่ผมได้คบกับเพื่อนคนนึงสมัยเรียนปี2 (พศ.2560) เขามาชวนผมคุยเรื่องการเมือง แรกๆผมก็รำคาญนะเพราะโดนปลูกฝังมานาน แต่เรื่องอื่นๆก็คุยได้ปกติ
จนต้นปี2563 เขาพูดเรื่องนึงขึ้นมาตอนนั่งอยู่กลางห้างที่โซน Fast Food เขาพูดว่าการเมืองเป็นเรื่องทุกอย่าง โต๊ะนี่ก็คือการเมือง เพราะอนาคตที่นี่อาจไม่มีโต๊ะ อาจต้องนั่งกินกับพื้นเพราะต้องขายทิ้ง ตรงนี้มันก็เริ่มจี้แล้ว1 ประกอบกับช่วงนั้นพึ่งตาสว่างกับ...อยู่พอดี แล้วเป็นช่วงโควิดระบาดครั้งแรกใหม่ๆ หน้ากากอนามัยหาซื้อยากมาก เลยเริ่มเปิดใจคุยเรื่องการเมืองกับเขา หลักๆก็ตระกูลนั้นก่อนเพราะผมเองก็มีคำถามสะกิดในใจมาตั้งแต่เด็กๆแล้วแต่ไม่กล้าคุยกับใคร แล้วก็ต่อด้วยเรื่องยิบๆย่อยๆ เช่น รถไฟ รถเมล์ ฟุตบาท แบบเรียนขั้นพื้นฐาน
กลางปีมาก็เมาท์มอยด่าพวกเจ้าสัว ด่าลุงตูบกันสนุกเลย รวมถึงได้รู้เรื่องเก่าๆว่าสมัยทักษิณว่าบริหารดียังไงบ้าง ซึ่งหลายๆเรื่องที่ผมไปลองหาดู นอกจากบัตรทองกับ OTOP ที่รู้ๆกันแล้ว กฎหมายคุ้มครองเด็กก็เกิดในสมัยนี้เหมือนกัน คือมาใกล้ๆกับนโยบายเรียนฟรี 15 ปีและโครงการโรงเรียนในฝัน ซึ่งผมก็ได้มีโอกาสได้เรียนโรงเรียนโครงการนี้ตอน ป.1-ป.6
ผมยิ่งตาสว่างไปอีก คือคดีขูดลอกโฆษณาบนกระจกรถไฟ เป็นคดีที่ไม่น่าจะฟ้องชนะ ก็ชนะตรงกับสมัยนายกทักษิณ เหตุผลที่มาเกี่ยวกับแม้วได้เพราะตอนนั้นผู้ฟ้องส่งจดหมายร้องเรียนไปให้นายกรัฐมนตรี (นาทีที่ 3.20) ซึ่งถ้าเทียบๆกัน ตอนนั้น พศ.2548 ก็เท่ากับว่านายกตอนนั้นคือลุงแม้ว ซึ่งถ้าเกิดฟ้องหลังจากนั้นประมาณยุคมาร์คก็ไม่รู้ว่าจะได้แก้ไขมั้ย อาจจะได้แก้อีกทีก็สมัยน้องสาวในอีกหลายปีต่อมา
จากนั้นผมก็เจอนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทสมัยป้าปู ซึ่งทำเอาผมรู้สึกเสียดายโครงการนี้มาก เพราะทุกวันนี้ค่ารถไฟฟ้าแพงจนเกือบเท่ารถมินิบัสไปต่างจังหวัด
กับรถไฟความเร็วสูง ที่น่าเสียดายมากเพราะโดนขัดด้วยวาทกรรมรถไฟขนผัก ซึ่งถ้าได้สร้างตั้งแต่ยุคป้าปูคงไม่อนาถเท่าแบบทุกวันนี้
นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ผมเบิกเนตรเรื่องการเมืองได้ แล้วก็ยังมีแนวคิดว่าทำไมทุกคนต้องจ่ายภาษี เราจ่ายไปทำไมในเมื่อสิ่งที่ได้กลับมาแทบไม่สมเหตุสมผลแถมห่วยแตก แบบดีๆก็แพงมาก เอกชนยังพอเข้าใจได้ว่าต้องการกำไร แต่ของรัฐกลับแพงไปดับเขาด้วย แถมของแพงบางอันก็โคตรไม่สมราคา
ตัวอย่างคือรถไฟด่วนพิเศษแดวู แบบในภาพ
ค่าโดยสาร ปากช่อง-ดอนเมือง 384 บาท แพงกว่ารถมิบัสราวๆ 3 เท่า แต่ที่นั่งนั้นระยะห่างแคบมากจนเบียด บางคันผ้าม่านหลุดลรุ่ย พื้นถลอก ผนังตรงปุ่มเปิดปิดประตูทางเชื่อมบางคันก็เป็นปากกาเมจิกหวัดๆแทนที่จะเป็นป้ายทางการๆหน่อย
หรือดรอปลงมา รถด่วยดีเซลราง โซนรถแอร์
ค่าโดยสารปากช่อง-กรุงเทพ 292 บาท แต่เก้าอี้หมุนไม่ได้ประมาณครึ่งนึง บางโซนต้องหันหลังทิศรถวิ่ง แถมเบาะก็เล็ก ประตูตรงกลางเปิด-ปิดทีก็ร้อนมาก
รถด่วน โซนรถพัดลม
ค่าโดยสารปากช่อง-กรุงเทพ 186 บาท แพงกว่ารถมินิบัสติดแอร์และรถทัวร์ ป.2 ประมาณนึง
ย้ำว่านี่คือรถพัดลมนะ ดีกว่ารถหวานเย็นแค่ประตูปิดตอนวิ่ง แต่ก็ด้อยตรงเก้าอี้พลาสติก
พอหลุดจากรถด่วนไปรถเร็ว ปรากฎว่ารถร้อน 99% รถแอร์มีแค่รถนอนเหมาะกับเดินทางข้ามวันเท่านั้น ส่วนรถธรรมดาก็รถร้อนบริสุทธิ์ไม่มีแอร์ปน
ตรงนี้ผมเลยหันมาสนใจการเมืองอย่างจริงตังเลย มันไม่ได้แล้ว มันเหมือนกับการที่รัฐบาลตั้งใจจะให้คนทั้งแผ่นดินเป็นทหารชัดๆเลยนะ เพราะในค่ายทหาร พวกพลทหารเกณฑ์จะได้นั่งเป็นรถบัสพัดลม แต่ถ้าเป็นยศใหญ่ๆหน่อยถึงเป็นรถแอร์ที่มาซื้อใหม่กันในช่วงโควิค(ทั้งที่รถเก่าที่เอารถพัดลมไปติดแอร์ก็ยังใช้ได้ดี สภาพยังดีกว่ารถแดง ขสมก พัดลมเฉพาะบนหัวคนขับอีก เสือกกระสันจะซื้อใหม่)
ถ้าการเมืองดี รถพัดลมจะมีแค่ในรถท่องเที่ยววันสำคัญ-วันหยุดสำหรับให้พวกโหยหาอดีตมาเที่ยวเป็นครั้งคราวเท่านั้น ไม่ใช่เอามาใช้ในเชิงพาณิชย์จนเสื่อมมนต์ขลังที่พวกรายการหิวแสงทั้งหลายเอามาเป็นจุดแข็ง อีกทั้งโคตรตกยุค ไม่ปลอดภัยเพราะวิ่งเปิดหน้าต่างอีกด้วย ผมลองคิดเปรียบเทียบเล่นๆเรื่องภาษี การจ่ายภาษีก็เหมือนขึ้นรถโดยสาร จ่ายค่าโดยสารนะ ไม่ใช่ 1-2 บาท แต่หักร้อย-หลักพัน แต่ดันเอารถห่วยๆมาให้นั่ง ฝนตกแดดออกรับสภาพแวดล้อมเต็มๆ แอร์ไม่มี พัดลมก็ติดๆดับๆ ถ้าอยากได้ต้องจ่ายแพงขึ้นกว่านี้หลายเท่าทั้งที่ถ้าเป็นมาตรฐานโลก ราคานี้ขั้นต่ำคือรถแอร์มีเบาะนวด+ที่ชาร์จUSBด้วยซ้ำ ไม่ใช่รถพัดลมบุโรทั่งแบบนี้
ผมเริ่มออกไปม๊อบวันที่ 19 กันยา 2563 เป็นอะไรที่ได้ไปเปิดโลกสุดๆ ทั้งอาชีพเงินดีๆที่กระจุกแค่ราชการ กฎหมายผูกขาดต่างๆ เช่น ห้ามทำเบียร์ขายเอง ผมไปร่วมลงชื่อแก้รัฐธรรมนูญ รวมไปถึงยกเลิก112 กฎหมายคาร์ฟเบียร์ ฯลฯ จากนั้นผมก็เลือกข้างฝ่ายซ้ายเต็มตัว มีทะเลาะกับที่บ้านที่เป็นขวาอยู่ครั้งคราว ยิ่งตอนฉีดน้ำกับกระสุนยางผมยิ่งรู้ว่าต้องเลือกฝ่ายไหน ฝ่าย นศ ไงจะใครล่ะ