@ricca chan ภาษีทุกอย่างมันมีนัยยะความหมายแฝงจุดประสงค์ของมันนะครับ
ภาษี VATเอาเรื่องภาษี VAT ก่อนครับ ภาษี VAT หรือ ภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นภาษี มันจะคิดจากราคามูลค่าสินค้าที่เพิ่มขึ้นจากเดิม
หรือก็คือ VAT ขาย - VAT ซื้อ = ภาษีส่วนที่ต้องจ่ายแก่สรรพากร
สมมุติผมซื้อ ตุ๊กตาเซเบอร์มาก 10,000 บาท VATเท่ากับ 700 บาท รวมเป็น 10,700 บาท
จากนั้นผมขายตุ๊กตาเซเบอร์ให้แก่นายชิโร่ด้วยราคา 20,000 บาท VAT 1,400 บาท รวมเป็น 21,400 บาท
ดังนั้นการเสียภาษีระหว่างทางของการเพิ่มมูลค่าจะเท่ากับ 1,400 - 700 = 700 บาท คือส่วนต่างของภาษีที่ผมต้องเสียให้แก่สรรพากร
แต่ในกรณีผู้บริโภคคนสุดท้ายจะต้องรับภาระภาษี VAT ทั้งหมด นั่นคือ 1,400 บาท ดังนั้นชิโร่ที่ไม่สามารถขายต่อได้จะต้องรับภาษีไปเต็มที่ 1,400 บาท
แต่ชิโร่จะไม่ได้มีหน้าที่ส่งภาษีแก่สรรพากร คนที่มีหน้าที่นำส่งภาษีแก่สรรพากร คือ ผมเอง
ดังนั้นการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเยอะ จริงๆมันไม่ได้ส่งผลกับผู้ประกอบการที่เป็น Chain Supply ระหว่างทางเท่าไหร่หรอกครับ
แต่ไอ้คนที่จะแตกพ่ายก็คือประชาชนซึ่งเป็นผู้บริโภคคนสุดท้ายซะเอง เพราะต้องรับภาษี 40% ไปเต็มๆ
ขณะที่ผู้ประกอบการหรือนายทุนเขาเสียแค่ส่วนต่างที่เกิดขึ้นจากความแตกต่างของราคาสินค้าที่เปลี่ยนไป
ยิ่งใช้ทรัพยากรมากยิ่งเสียภาษีมากคำกล่าวนี้ถูกต้องครับ แต่ต้องดอกจันทร์เพิ่มเติมว่าแนวคิดการเสียภาษีแบบนี้เป็นแนวคิดการเสียภาษีที่มาจากแนวคิดสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์นะครับ
สำหรับคอมมิวนิสต์มาจากข้อ 2 จากคำประกาศคอมมิวนิสต์ หรือ ที่เราเรียกกันว่า Communist Manisfesto ซึ่งเขียนระบุว่า
2.A Heavy Progressive or Graduated Income Tax
ไอ้เจ้าภาษี Progressive Income Tax มันก็คือ ภาษีบุคคลได้แบบขั้นบันไดแบบบ้านเรานั่นเอง(รู้สึกถึงอะไรที่มันย้อนแย้งมั้ยครับ 555)
เนื่องจากคนที่เป็นนายทุน เป็นเจ้าของโรงงาน จำเป็นต้องใช้รถบรรทุกเยอะ เมื่อใช้รถบรรทุกในการขนส่งวัตถุดิบ ถนนหนทางมันก็สึกหรอเร็วกว่ารถเก๋งธรรมดา
โรงงานก็สร้างมลภาวะทางน้ำ อากาศ มากกว่าบ้านเรือนของคนทั่วไป ซึ่งไม่ว่าจะเป็น ถนน น้ำ อากาศ เหล่านี้ก็คือทรัพยากร
นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมแนวคิดคอมมิวนิสต์และแนวคิดสังคมนิยมถึงได้บังคับให้นายทุนใช้ทรัพยากรมากกว่าต้องเสียภาษีมากกว่าตามขั้นบันได
เอาจริงๆ เนี่ย ต่อให้คุณขึ้น VAT มากขึ้น ผู้ประกอบการก็ไม่ได้สะเทือนมากมายหรอกครับ เดี๋ยวผมจะคำนวนให้ดูVAT 7%ผู้ประกอบการซื้อวัตถุดิบ 100 บาท VAT7% = 7 บาท รวม 107 บาท
ขายของให้ผู้บริโภค 200 บาท VAT7% = 14 บาท รวม 214 บาท
ผู้ประกอบการจะเสียภาษีเท่ากับ 14 -7 = 7 บาท และยังคงได้กำไรเท่ากับ 214 - 107 - 7 = 100 บาทผู้บริโภคจะเสียภาษีเท่ากับ 214 - 200 = 14 บาทVAT40%ผู้ประกอบการซื้อวัตถุดิบ 100 บาท VAT40% = 40 บาท รวม 140 บาท
ขายของให้ผู้บริโภค 200 บาท VAT40% = 80 บาท รวม 280 บาท
ผู้ประกอบการจะเสียภาษีเท่ากับ 80 - 40 = 40 บาท และจะยังได้กำไรเท่ากับ 280 - 140 - 40 = 100 บาทผู้บริโภคจะเสียภาษีเท่ากับ 280 - 200 = 80 บาทคุณ
@ricca chan เห็นอะไรมั้ยครับ ไม่ว่าคุณจะขึ้น VAT เป็นเท่าไหร่ ท้ายที่สุด ผู้ประกอบการหรือนายทุนก็จะได้กำไรเท่าเดิม คือ 100 บาท
ขณะที่ผู้บริโภคจากเดิมที่ VAT7% จะต้องเสียภาษี 14 บาท แต่พอ VAT40% จะต้องเสียภาษี 80 บาท
จะเห็นได้ชัดเลยว่า การขึ้นภาษี VAT คนที่จะแตกพ่ายก่อนก็คือผู้บริโภค ไม่ใช่ผู้ผลิตหรือผู้ประกอบการระหว่างทาง
ภาษี VAT เป็นภาษีที่ถูกคิดขึ้นโดยใช้หลักการของทุนนิยม โดยนักทุนนิยม ของนักทุนนิยม เพื่อนักทุนนิยม ไงล่ะครับ 555
ต่างจาก Progressive Income Tax ที่เป็นภาษีที่เกิดจากแนวคิดของสังคมนิยมและแนวคิดของคอมมิวนิสต์
จริงๆ ภาษี Income Tax หรือ ภาษีบุคคลได้มี 2 แบบนะครับ
1.Fixed Rate Income Tax เช่น อังกฤษ อันนี้คือสายทุนนิยม เพราะไม่ว่าจะจนจะรวยก็เสียภาษี Rate เดียวกัน ไม่จำเป็นต้องคำนึงการ Consume ทรัพยากรในประเทศ เพราะถือว่าทุกคนไหนมีโอกาสใช้ก็จงใช้ให้เต็มที่ ถ้าสร้างรายได้ได้น้อยก็ถือซะว่าคุณเลือกที่จะไม่ใช้ทรัพยากรเสียเอง
2.Progressive Income Tax ก็คือที่ผมกล่าวไปก่อนหน้าครับ
ภาษีทุกตัวมันมีความหมายและแฝงแนวคิดของผู้คิดลงไปนะครับ
เพิ่มเติมนะครับ ภาษีเดิมของไทย "จังกอบ"จังกอบคือภาษีที่เวลาเราผ่านด่าน ข้ามคลองสะพาน จะต้องเสียภาษี 1 ใน 10
จริงๆแล้วภาษีตัวนี้มีไว้เพื่อบังคับห้ามประชากรย้ายถิ่นฐาน
เนื่องจากสมัยก่อนเวลาเขาทำสงครามกัน เขามักจะเกณฑ์คนไปเป็นทาส เนื่องจากประชากรคือกำลังผลิตที่สำคัญต่อเศรษฐกิจมาก
ดังนั้นจังกอบคือภาษีที่บังคับให้ ไพร่กลายเป็น ทาสติดที่ดิน ไงครับ เพราะทุกครั้งที่คุณเดินทางผ่านด่าน ข้ามคลองคุณก็จะเสียทีละ 1 ใน 10 ของสินค้า