[quote/]
แต่ปัญหาคือการนำมาซึ่งทรัพยากรในพื้นที่อื่นสิครับ
ถ้าบางชุมชนปลูกข้าวดี อีกชุมชนปลูกสตรอเบอรี่ดี ชุมชนที่ขายของถูกกว่า(อย่างข้าว)จะได้เงินน้อยกว่า และตราบที่ยังมีการแลกเปลี่ยนสินค้า ชุมชนนั้นจะเสัยดุลการค้า และมีเงินพัฒนาชุมชนนั้นๆก็จะน้อยกว่า
ผลคือพอระบบสาธารณูปโภคของชุมชนที่ว่ามันแย่ลง ผลผลิตในชุมชนนั้นลด(จากการขาดน้ำปะปา หรือคนอพยพออกก็แล้วแต่) ชุมชนอื่นก็จะโดนผลกระทบไปด้วย
ดังนั้นการรวมกลุ่มใหญ่ขึ้น(ซุปเปอร์ชุมชน หรือประเทศ) จะช่วยให้บางชุมชนที่มีความจำเป็นต่อชุมชนอื่นๆแต่ดันขาดเงิน ได้เงินผ่านระบบส่วนกลางบ้าง
*ส่วนกลางที่ว่านี่ ต้องไม่รวมศูนย์โดยไม่แคร์ส่วนชุมชนนะ เช่นไทยมีส่วนภูมิภาคที่ดันจัดตั้งจากมหานครบางกอก
**เข้าใจว่าทุกชุมชนไม่ได้มีสินค้าเดียว แต่ไม่ว่าชุมชนไหนมันก็มักจะมีสินค้าหลักที่เหมาะกันภูมิประเทศของตน และเป็นผลผลิตส่วนใหญ่ของส่วนนั้น
มันมีการร่วมมือกันลงทุนระหว่างชุมชนอยู่แล้วครับ อย่างกรณีการสร้างโรงพยาบาลและสาธารณูปโภคต่างๆ เช่น ไฟฟ้า น้ำประปา
ด้วยวิธีใช้หลายชุมชนที่มีความต้องการในแบบเดียวกันลงทุนและแบกรับภาระหนี้ด้วยกันไงครับ
ก็อย่างที่ผมบอกไว้ข้างต้นว่า สมมุติชุมชน A ต้องการใช้ไฟฟ้าจึงต้องสร้างโรงไฟฟ้าในนามของบริษัทผลิตไฟฟ้า
แต่คนในชุมชนของ A ลงทุนเองทั้งหมดไม่ไหว ชุมชน A ก็จะไปถามชุมชนอื่นๆที่มีความสนใจต้องการใช้ไฟฟ้าเหมือนกับ A เช่น B,C...
พอชุมชนหลายชุมชนตกลงร่วมกันได้แล้ว ก็จะร่วมลงทุนด้วยการระดมทุน หรือ ไม่ถ้าไม่มีจริงๆก็กู้เงินจากสถาบันการเงินต่างประเทศโดยให้ทุกคนแบกรับภาระหนี้เหมือนกัน
เท่านี้ก็จะได้โรงไฟฟ้าที่ชุมชน A และชุมชนอื่นที่ช่วยกันลงทุน ได้ใช้ไฟฟ้าแล้ว
มันมีความคล้าย Capitalism แต่มันก็ไม่ใช่ Capitalism เสียทีเดียว เพราะทุกคนในชุมชนช่วยกันลงทุนร่วมกัน
ส่วนตัวผมมองว่าระบบเศรษฐกิจของ Direct Democracy จะสำเร็จได้ อยู่ที่การศึกษาและความรู้ทางการเงินในระดับหนึ่งเลยนะ
กล่าวคือต้องเข้าใจหลักการของบัญชี เพื่อที่เวลานำเข้าหรือส่งออกกับต่างประเทศจะได้เกิดความ Harmony กับโลกภายนอกที่เป็นแบบ Capitalism
ในความคิดของผมนะ จริงๆของไทยก็ทำได้นะ(รัฐจะสนับสนุนหรือเปล่าอีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าเป็นรัฐบาลนี้ก็คงหมดหวังจนกว่าจะเขียนรัฐธรรมนูญใหม่นั่นแหละ)
นั่นก็คือการทำ OTOP ไงครับ เพียงแต่เราจำเป็นต้องให้ผู้ประกอบการอบรมและเข้าใจความรู้ด้านบัญชี
จริงๆ OTOP เป็นอะไรที่ใกล้เคียงหลักการของ Direct Democracy มากๆเลยนะ เพราะเป็นหน้าตาของธุรกิจของชุมชน
แต่มันยังไม่ใช่ซะทีเดียว เพราะ หุ้นส่วนของเจ้าของกิจการยังค่อนข้างมีคนเดียว อีกทั้งคนในชุมชนมักจะเป็นลูกจ้างที่มีเงินเดือนและทำงานหลักจากงานหลักเสียมากกว่า
ซึ่งจริงๆ ถ้าเราประยุกต์ OTOP ซะหน่อย มันก็กลายเป็นธุรกิจของชุมชนตามเศรษฐกิจแบบโรจาว่าได้ ด้วยการขายหุ้นให้คนในชุมชนร่วมกันถือครองและกินปันผล
เปลี่ยนจากสถานะพนักงานลูกจ้างเป็นเจ้าของร่วม(Co-op) และเปลี่ยนรายได้พนักงานจากเงินเดือนเป็นปันผลของผู้ถือหุ้นแทน