//ทำสายตาเลิ่กลั่ก งงๆ ทำไมกระทู้เงียบ ทำไรผิดอีก งง รู้สึกงง
@name123 พอดีนอนงีบนิดนึง เพราะ คอเคล็ด
ในความคิดผมถ้าเราผสมแนวคิดการถือหุ้นที่ไม่จำเป็นต้องเท่ากันก็ได้นะครับ เมื่อถือหุ้นไม่เท่ากัน ปันผลก็ย่อมไม่เท่ากัน
ใครอยากเสี่ยงมาก ก็ลงทุนมาก ถ้าได้ก็ได้ปันผลเยอะครับ หรือ ถ้าถ้าลงทุนน้อยกลัวเสี่ยงก็ได้ผลตอบแทนน้อย
ทางกลับกันทางขาดทุน คนลงทุนมากก็เจ๊งมาก คนลงทุนน้อยก็เจ๊งน้อย แต่ยังไงพวกเขา 3 คนก็ต้องช่วยกันขยันทำงาน เพราะพวกเขาลงขันไปแล้ว ไม่สำคัญว่ามากน้อย แต่ถ้าเจ๊งคือเข้าเนื้อทั้งสามคนเหมือนกันหมด ต่างกันที่ปริมาณมากน้อย
ทางจิตวิทยาแล้วเวลาของที่เป็นของเรา เราย่อมรักและหวงแหนกว่าของคนอื่น อันนี้เป็นความจริง 100%
ดังนั้นเพื่อเพิ่ม Productivity ปกติแล้วบริษัทบางบริษัทมักจะตอบแทนพนักงานดีเด่นและอยู่มานาน Excellent และ Loyalty ด้วยการมอบหุ้นจำนวนหนึ่งของบริษัทให้แก่เขาอยู่แล้ว(อันนี้ระบบ Capitalism เป็นหมดครับ โดยระดับผู้บริหารขึ้นไป เพื่อที่จะเป็นสมอยึดไม่ให้พนักงานที่เก่งและซื่อสัตย์ย้ายออกจากบริษัทของเรา พอเขารู้สึกมีความเป็นเจ้าของ เขาก็จะทำงานตอบแทนบริษัทอย่างเต็มที่
แต่ทำไมเราไม่เปลี่ยนใหม่ละ เปลี่ยนให้พนักงานตั้งแต่แรกเข้ามีส่วนในการถือครองหุ้น เมื่อถือครองหุ้น นั่นหมายความว่าธุรกิจนั้นย่อมมีเขาเป็นเจ้าของ เมื่อคนรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของ ย่อมต้องรักและหวงแหน คงจะไม่มีทางปล่อยให้มันเจ๊งโง่ๆ เป็นแน่แท้
สมมุติอย่างนะครับ โมเดลธุรกิจร้านสะดวกซื้อ
นาย A มีส่วนของทุน 200,000 บาท คิดเป็น 20% ทำงานเป็นพนักงานจัดของและพนักงานหน้าร้าน (แผนก Service ลูกค้า)
นาย B มีส่วนของทุน 350,000 บาท คิดเป็น 35% ทำงานเป็นพนักงานจัดซื้อของและขนของหลังร้าน (แผนกจัดซื้อจัดจ้าง)
นาย C มีส่วนของทุน 450,000 บาท คิดเป็น 45% ทำงานเป็นพนักงานบัญชี (แผนกบัญชี)
สมมุติว่าร้านสะดวกซื้อนี้ได้กำไรเดือนนี้ 100,000 บาท และผลมติที่ประชุมทุกคนเห็นด้วยที่จะปันผล 100% จากกำไรสะสม
นาย A ก็จะได้ปันผลเดือนนี้ 20,000 บาท
นาย B ก็จะได้ปันผลเดือนนี้ 35,000 บาท
นาย C ก็จะได้ปันผลเดือนนี้ 45,000 บาท
(แต่มติปันผลเท่าไหร่ อันนี้ต้องเข้าประชุมเสียก่อน บางครั้งอาจจะปันผลจากกำไรแค่ 50%ก็ได้ หรือ 100% ก็ได้ แล้วแต่การโหวตของสมาชิกผู้ถือหุ้น)
ที่นี้เรามามองดูการกำหนดนโยบาย
สมมุติว่า นาย C มีความคิดต้องการระดมทุนจากคนอื่นเพิ่ม(รับพนักงานเพิ่ม) โดยมีหุ้นส่วนอยู่ 40% คิดเป็น 40 คะแนน
แต่นาย A กับ นาย B มองว่าไม่ต้องการระดมทุนเพิ่ม โดยทั้งสองคนมีหุ้นส่วนรวมกัน 55% คิดเป็น 55 คะแนน
ดังนั้นผลโหวด A กับ B ถือว่าชนะ และจะต้องดำเนินนโยบายไม่ระดมทุนจากคนอื่นเพิ่ม(ไม่รับพนักงานเพิ่ม)
ถามว่าอย่างนี้แตกต่างจากระบบ Capitalism อย่างไร
แน่นอนครับแตกต่างมาก เนื่องจากพนักงาน 2 คนที่ถือหุ้นน้อยกว่า สามารถร่วมกันมีอำนาจต่อรองในการกำหนดนโยบายธุรกิจจากการถือหุ้นได้
หรือถ้าจะให้พูด มันก็คือ ระบบสหภาพแรงงานนี่แหละ เพียงแต่ใช้ระบบทุนนิยมในการขับเคลื่อนคือการเป็นหุ้นส่วนเข้ามาเกี่ยวในการตัดสินการโหวต
และปกติพนักงานลูกจ้างทั่วไปในระบบทุนนิยม ไม่มีสิทธิกำหนดนโยบายบริหาร ได้แต่รับคำสั่งเบื้องบนคือบอร์ดบริหารมาปฏิบัติให้เกิดผล
แต่คราวนี้ทุกคนเองก็เป็นพนักงาน ขณะเดียวกันก็คือเป็นบอร์ดบริหารไปในคราวเดียวกัน โดยอำนาจของการโหวตเกิดจากอำนาจของผู้ถือหุ้น
เมื่อพนักงานถือหุ้น ย่อมต้องมีอำนาจต่อรองมากกว่าพนักงานลูกจ้างปกติครับ