พูดถึงทฤษฎีพอเพียง มีความเข้าใจผิดหลายอย่างเกี่ยวกับทฤษฎีนี้
1. คนคิดค้นทฤษฎีนี้ไม่ใช่กษัตริย์ภูมิพล แต่เป็นนาย John Seymours เป็นคนคิดค้นและเขียนลงในหนังสือ Self-Sufficient ให้เครดิตคนคิดหน่อยครับ
สมมุติว่าฟาร์มของเรา ปลูกข้าวโพด เลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา การถ่ายทอดพลังงานก็จะเป็น ข้าวโพดนำมาเป็นอาหารไก่ ขี้ไก่เป็นอาหารปลา แต่การถ่ายทอดพลังงานที่เรียนกันมาตั้งแต่ประถม-ม.ต้น พวกเราน่าจะจำได้ว่าพลังงานจะลดลงเหลือแค่ 1 ใน 10 ทุกครั้งที่มีการถ่ายทอด
ดังนั้นถ้าสมมุติจะเลี้ยง ปลา 100 kg ก็จะต้องเลี้ยงไก่ 1,000 kg และปลูกข่าวโพด 10,000 kg ถึงจะทำให้ระบบการถ่ายทอดพลังงานตามหลักการทฤษฎี Self-Sufficient สมบูรณ์
แต่ปัญหาสำคัญคือ เกษตรกรไทย มีอยู่ 3 แบบ 1.แบบมีที่ดินเป็นของตัวเอง 2.เช่าที่ดินของเขาทำเกษตร 3.ไม่มีที่ดินและต้องเป็นลูกจ้างที่ดินของคนอื่น
การจะหาพื้นที่ทำบ่อเลี้ยงปลา 100 kg เลี้ยงไก่ 1,000 kg และ ปลูกข้าวโพด 10,000 kg ไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งกับเกษตรกรไทยนั้นยิ่งเป็นเรื่องยาก เพราะ เกษตรกรไทยหลายคนไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตัวเอง
3.ทฤษฎี Self-Sufficient มันทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจน้อย กล่าวคือสินค้าต่างๆ มีการสั่งอุปโภคและบริโภคน้อย เพราะ Self-Sufficient คือ เกษตรแบบระบบปิด ไม่เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจทำได้ช้า พูดให้เห็นภาพ ใครเคยดูโฆษณา "เงินกำลังจะหมุนไป" บ้างครับ
ทุกครั้งที่เงินมันเปลี่ยนมือ มันจะทำให้เงินพองตัวขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งมีการเปลี่ยนมือมาก กิจกรรมทางเศรษฐกิจมาก เงินก็จะยิ่งมีมูลค่ามากขึ้นเรื่อยๆ
ผมน่าจะเคยโพสต์หลายครั้งเกี่ยวกับเรื่อง ความมั่งคั่งของประเทศนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเรามีทองมาก เรามีทรัพยากรมาก แต่มันขึ้นอยู่กับกำลังผลิตที่ถือเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ หรือที่เรียกกันว่า GDP(Growth Domestic Product)
ซึ่งมีสมการดังต่อไปนี้
GDP = C + I + G + (X - M)
C = Consumption การบริโภคของประชาชนในประเทศ
I = Investment การลงทุนภาคเอกชน
G = Goverment การลงทุนภาครัฐ
X = Export การส่งออก
M = Import การนำเข้า
ปัญหาของเศรษฐกิจแบบพอเพียงหรือ Self-Sufficient มันไม่เกิดการบริโภคของประชาชน(C) เนื่องจากเป็นฟาร์มแบบระบบปิด ไม่ก่อให้เกิดการบริโภค เช่น การสั่งซื้อปุ๋ย การสั่งซื้อเมล็ดพันธุ์ การสั่งซื้ออาหารสัตว์ และเมื่อไม่ก่อเกิดการบริโภค ไม่มีอุปสงค์(Need) ก็ไม่เกิดแรงกระตุ้นที่ภาคเอกชนจะลงทุนเป็นอุปทาน(Supply) ทำให้ค่าการลงทุนภาคเอกชน(I) ลดลง
จะเห็นได้ชัดว่า เศรษฐกิจพอเพียงหรือ Self Sufficient นั้นทำให้ตัวแปรสำคัญ 2 ตัว คือ C กับ I ลดลง ก็ย่อมทำให้ค่าผลรวมของ GDP ลดลง เมื่อกำลังผลิตลด ความมั่นคั่งของประเทศย่อมลดลงตาม
ซึ่งการทำเกษตรยุคใหม่ เขาจะทำแบบ Mass Product แทน เพราะ มันทำให้เกิดกิจกรรทางเศรษฐกิจมากกว่า กล่าวคือ เราปลูกพืช หรือ เลี้ยงสัตว์ที่เราถนัดและเชี่ยวชาญที่สุดอย่างเดียวดีกว่า ไม่จำเป็นต้องไปปลูกข้าวโพด เพื่อแปรรูปข้าวโพดมาเป็นอาหารสัตว์ เพราะเมื่อเราทำสิ่งที่เราไม่ชำนาญผลลัพธ์มันย่อมไม่ออกมาเต็มประสิทธิภาพ 100% เราซื้ออาหารสัตว์มาเลี้ยงสัตว์ดีกว่าครับ เผลอคิดต้นทุน(Cost) จะถูกกว่ามาก
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดๆ อย่างงานก่อสร้าง ผู้รับเหมาหลักก่อสร้าง เขาไม่ได้ทำเองทั้งหมดตั้งแต่ฐานราก ตอม่อ ยันหลังคา งานสถาปัตย์ งาน MEP(Mechanic Electrical and Plumbing = งานระบบไฟฟ้า เครื่องกลและท่อ) เพราะ ไม่มีใครชำนาญทำได้ทุกอย่างหรอกครับ ไม่ว่าบริษัทไทยหรือต่างประเทศ ไม่มีใครเขาชำนาญทำได้ทุกเรื่อง แต่เขาจะใช้วิธีจ้าง Subcontractor(ผู้รับเหมาสัญญาย่อย) มารับงานส่วนที่ต้องใช้ความชำนาญพิเศษ เพราะ มันบริหารง่ายกว่า ถูกกว่าคนไม่ชำนาญทำเอง วิธีการจ้างรับเหมาช่วงต่อ มันทำให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจแบบต่อเนื่อง ซึ่งมีผลที่ดีกว่า
สรุปนะครับ เศรษฐกิจพอเพียงหรือ Self-Sufficient นั้น เป็นทฤษฎีที่เหมาะแก่การทำการเกษตรแบบงานอดิเรก แต่ไม่ได้เหมาะกับการทำเพื่อเศรษฐกิจ เพราะมันเกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจน้อย