ผมกำลังอ่านแนวความรักมากขึ้นเพื่อจะได้เขียนนิยายได้ดีเลยพยายามศึกษาเรื่องความหึงหวงมากขึ้น
ซึ่ง ก็อย่างที่เรารู้ ฮาเร็มจอมนางแห่งวังหลวง
ฆ่ากันเลือดสาดแบบโหดยิ่งกว่าแนวการล้างแค้นของฮีโร่อิเซไคในบางเรื่องอีก
ว่าไปแล้ว
ผมเคยเจอเคส การไปฝึกอาชีพ รัฐบาลต้องการฝึกอาชีพเพิ่มทักษะให้ประชาชน
แต่บรรดาคนที่รับการฝึกร้องไห้กลับบ้านหาลุกหาผัว
หากคิดแบบมีเหตุมีผล นั่นก็ทำตัวยิ่งกว่าเด็กๆที่ไปโรงเรียบนประจำอีก
หรคือว่า คนที่แต่งงานกันแล้วจะไม่สามารถห่างกันได้เลยในบางเคส
คนที่ไม่สามารถห่างบ้านได้ก็ไม่สามารถห่างบ้านได้จริงๆ
ผมกำลังทำความเข้าใจเรื่องนี้
แต่อะไรที่อธิบายเรื่องหึงหวงได้ดีอาจจะมาจากที่ที่ผมไม่คาดคิดคือ การเมืองระหว่างประเทศ
ที่เรื่องหึงหวงกัลเกมส์การเมืองเหมือนกันคือ
ความหึงหวงเกิดขึ้นได้ ไม่เกี่ยววว่าจะมี"เจตนา" ที่จะนอกใจหรือไม่ ไม่เกี่ยว
ในทางการเมือง หากอีกฝ่ายมี"ศักยภาพ"พอที่จะนอกใจ แค่นั้นก็เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะดำเนินนโยบาบย ไล่เลขาหน้าห้องที่หน้าตาดีให้ออกไปจากจากบริษัท ไม่ว่าจะต้องขุดคุ้นการลาโดยไม่มีใบลา ในเคสไปทำฟันหรือเรื่องไร้สาระแค่ไหนก็ตาม
ตราบใดที่ไม่สามารถกำจัดความกังวลหรือ"ศักยภาพ"ในการเกิดอะไรบางอย่างที่ขัดผลประโยชน์ได้
ความหึงหวงหรือนโยบายทางการเมืองนั้นก็ยังคงอยู่
ไม่เชื่อว่าจะเข้าใจความหึงหวง ดราม่าได้มากขึ้น หากเรามองผ่านเลนส์ มุมมองการเมืองระหว่างประเทศ
พวกเขาคงเป็นนักการทูตหรือนักวิจารณ์ข่าวการเมืองได้ไปแล้ว
คลับฟรายเดย์ อาจจะเป็นนักการเมืองและนักการทูตที่เก่งก็ได้ หากพวกเขาไม่คิดว่าตนเองเป็นตัวละครในนิยายรักดราม่า
เหมือนเรื่อง ยามาโมโต้ เทพบุตรจิตป่วนพูดว่า
ขอเพียงเอาพลังและความคิดสร้างสรรค์จากเรื่องโอตาคุ ไปทำอย่างอื่น แต่ละคนคงกลายเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ไปแล้ว
ช่วงนี้ชอบมีคนบอกว่า "คนที่เข้าใจผุ้หญิงคนนั้นคือคนที่โง่งมที่สุดในแผ่นดิน" ที่โกวเล้ง คนที่หย่ามาหลายครั้งพูดเอาไว้
หลักๆคือ ผมมองว่าการตัดสินใจน่ะมีเหตุผล ไม่ใช่ไร้เหตุผลหรอก
แต่แค่มีหลักการตัดสินใจออกไปในแนวการเมืองระหว่างประเทศเท่านั้นเอง ในเรื่องความสัมพันธ์ใต้สะดือนี่
คนเราปัจเจคบุคคลเป็นคนดีและมีเหตุผลอยู่ได้
แต่พอเกี่ยวพันกับคนหมู่มาก ผลประโยชน์และความอยากต่างๆจะทำให้คนหน้ามืดตามัว
อธิบายความสัมพันธฺแบบใหญ่อย่างการเมืองระหว่างประเทศ กับแย่งผัวแย่งเมียได้ในเวลาเดียวกัน
ว่าการมองจากผลประโยชน์ล้วนๆอย่างเดียวจะมีพฤติกรรมอย่างเดียวกันนั่นเอง
ผมพยายามทำความเข้าใจเรือ่งพวกนี้มากขึ้น แต่ยิ่งพยายามเข้าใจยิ่งรู้สึกรังเกียจมากขึ้นอย่างไรก็ไม่รู้
มันจะนำมาซึ่งแนวคิด
"การหลอกลวงไม่ผิดเป็นแค่เรื่องทางเทคนิคในวงการอย่างหนึ่ง คนถูกหลอกลวงต่างหากที่ผิด"
ซึ่งก็อธิบายสถานการณ์ของโลกปัจจุบันได้ดีพอพอกันล่ะครับ