ข้อ 4 ว่าด้วยตำแหน่งและดินแดนของโจโฉ (ช่วงก่อนศึกกัวต๋อ ค.ศ.200)
4.1) ตำแหน่งสุดท้ายที่โจโฉได้รับแต่งตั้งจากราชสำนักก่อนหลบหนีจากเมืองหลวงมาเข้ากับกองกำลังพันธมิตรกวนตงนั้น คือตำแหน่งนายกองทหารม้า (ฉีตูเว่ย) (騎都尉) ประจำกองทัพหลวง ต่อมาเมื่อศึกปราบตั๋งโต๊ะจบลงในปี ค.ศ.191 โจโฉได้รับการแต่งตั้งจากอ้วนเสี้ยว*ให้ดำรงตำแหน่งเป็นนายหัวเมืองตองกุ๋น (ตงจวิ้นไท่โช่ว) (東郡太守) แห่งมณฑลกุนจิ๋ว (เหยี่ยนโจว) (兗州) ในปีถัดมา เล่าต้าย ผู้ตรวจราชการมณฑลกุนจิ๋ว (เหยี่ยนโจวซื่อฉี่) (兗州刺史) เสียชีวิตจากการรบกับกบฏโพกผ้าเหลือง บรรดาขุนนางแห่งแคว้นกุนจิ๋วจึงรวมตัวกันขอความช่วยเหลือจากโจโฉ แลกกับการให้โจโฉได้เป็นผู้ตรวจราชการมณฑลคนใหม่แทนเล่าต้าย โจโฉก็ตกลง ภายในระยะเวลาเพียงปีเดียว โจโฉก็ได้ดินแดนกุนจิ๋วทั้งหมดมาไว้ในครอบครอง (สถานะของโจโฉและอ้วนเสี้ยวในตอนนี้ยังคงเป็นกบฏอยู่)
*ตำแหน่งที่อ้วนเสี้ยวได้รับอย่างเป็นทางการจากราชสำนักในขณะนั้นคือนายหัวเมืองปุดไฮ (ป๋อไฮ่จวิ้นไท่โช่ว) (勃海郡太守) แต่ช่วงศึกปราบตั๋งโต๊ะ อ้วนเสี้ยวได้แต่งตั้งตนเองเป็นขุนพลทัพม้ารถศึก (จูฉีเจียงจวิน) (車騎將軍) ตำแหน่งขุนพลขั้นสอง (เอ้อผิ่น) (二品) ที่มีศักดิ์เป็นรองเพียงมหาขุนพล เป็นผู้ว่าราชการมณฑลกิจิ๋ว (จี้โจวมู่) (冀州牧) มีอำนาจปกครองมณฑลกิจิ๋วทางเหนือทั้งหมด และนายพันมณฑลนครหลวง (ซือลี่เสี้ยวเว่ย) (司隸校尉) มีอำนาจปกครองมณฑลนครหลวง (ซือลี่โจว) (司隸州) ตั้งแต่ลกเอี๋ยงไปถึงเตียงอัน แต่ทั้งหมดทั้งมวลอ้วนเสี้ยวแค่แอบอ้างตนเองเท่านั้น ไม่ได้มีอำนาจจริงๆ จากราชสำนักแต่อย่างใด
4.2) หลังได้ดินแดนกุนจิ๋วมาครอง โจโฉก็เริ่มทำศึกขยายดินแดนของตน โดยเป้าหมายแรกของโจโฉก็คือชีจิ๋วของผู้ว่าราชการโตเกี๋ยม สาเหตุของสงครามมาจากความขัดแย้งเรื่องดินแดนของทั้งสอง ทั้งโจโฉและโตเกี๋ยมต่างใช้ข้ออ้างเรื่องการปราบกบฏโพกผ้าเหลือง ยกทัพรุกล้ำอาณาเขตของอีกฝ่าย เจตนาหวังแย่งชิงเมืองหน้าด่านชายแดน บางกระแสว่าโจโฉเป็นคนโจมตีก่อน บ้างก็ว่าโตเกี๋ยมเป็นคนเริ่ม ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม โตเกี๋ยมนั้นต่างกับโจโฉ คือเป็นขุนนางซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนักอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพราะฉะนั้นการรุกล้ำดินแดนของโจโฉจึงสามารถนับว่าเป็นการก่อกบฏได้ บวกกับการสังหารหมู่ประชาชนชีจิ๋วนับแสนคนของโจโฉ ทำให้เกิดกระแสต่อต้านเขาขึ้นเป็นจำนวนมากในกุนจิ๋ว นำไปสู่การทรยศของตันก๋งและเตียวเมา ทั้งสองได้แอบเจรจาเป็นการลับให้ลิโป้นำทัพยึดกุนจิ๋วจากโจโฉแทน แต่โชคดีที่โจโฉสามารถเอาชนะลิโป้ในศึกกุนจิ๋วได้ และเพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นใช้ข้ออ้างว่าเขาเป็นกบฏ ในปี ค.ศ.195 โจโฉจึงจัดส่งทูตนำสารพร้อมบรรณาการจำนวนมากมอบให้แก่ราชสำนักที่เตียงอัน (ซึ่งยังคงอยู่ใต้การควบคุมลิฉุย-กุยกี) เพื่อตอบแทนแด่บรรณาการของโจโฉ ราชสำนักจึงแต่งตั้งให้โจโฉเป็นผู้ตรวจราชการมณฑลกุนจิ๋วอย่างเป็นทางการ ช่วยทำให้ฐานะของโจโฉในกุนจิ๋วมั่นคงยิ่งขึ้น
4.3) หลังเสร็จศึกกุนจิ๋ว โจโฉใช้เวลาพักใหญ่ไปกับการพักฟื้นกองทัพและดินแดน พร้อมนำทหารปราบกลุ่มโจรน้อยใหญ่ในอิจิ๋ว (ยี่ว์โจว) (豫州) ทางใต้ เพื่อขยายอิทธิพลของตนอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่โอกาสใหญ่ของโจโฉมาถึงในปี ค.ศ.196 เมื่อพระเจ้าเล่าเหียบพร้อมคณะผู้ติดตามได้หลบหนีออกจากเตียงอัน และหนีการไล่ล่าของลิฉุย-กุยกีมาพำนักที่เมืองหลวงเก่าลกเอี๋ยง โจโฉไม่รอช้า ส่งโจหองในฐานะผู้แทนตนไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ การกระทำดังกล่าวทำให้โจโฉได้รับผลตอบแทนเป็นตำแหน่งขุนพลพิทักษ์บูรพา (เจิ้นตงเจียงจวิน) (鎮東將軍) ตำแหน่งขุนพลขั้นสอง (เอ้อผิ่น) (二品) ระดับล่างสุด จากนั้นไม่นานโจโฉก็นำคนเข้าเฝ้าฮ่องเต้ด้วยตนเอง และสามารถเกลี้ยกล่อมองค์ฮ่องเต้ให้ย้ายที่ประทับไปยังเมืองฮูโต๋ (สี่ว์ชาง) (許昌) ซึ่งอยู่ในเขตปกครองของโจโฉได้สำเร็จ จากนั้นเพื่อตอบแทนความภักดีของโจโฉ เขาได้รับปูนบำเหน็จหลายรายการจากฮ่องเต้ ไม่ว่าจะเป็น
4.3.1) มหาขุนพล (ต้าเจียงจวิน) (大將軍) ทำให้มีชั้นยศเหนือขุนพลทั้งหมด ทั้งยังเสนอตำแหน่งพระยาสมุหกลาโหม (ไท่เว่ย) (太尉) ซึ่งเป็นตำแหน่งขุนนางระดับสามพระยา (ซันกง) (三公) ให้แก่อ้วนเสี้ยว พระยาสมุหกลาโหมเป็นตำแหน่งใหญ่ที่มีอำนาจตรวจตราบริหารกองทัพหลวงทั่วแผ่นดิน แต่เพราะตำแหน่งดังกล่าวไม่มีอำนาจควบคุมบัญชาการทหารโดยตรง ทั้งยังมีบรรดาศักดิ์ต่ำกว่ามหาขุนพล ทำให้อ้วนเสี้ยวปฏิเสธข้อสนเอของโจโฉโดยเหตุผลว่าตำแหน่งที่เสนอให้นั้น “ต่ำต้อยไม่สมศักดิ์ศรีของตน” โจโฉจึงต้องสละตำแหน่งมหาขุนพลของตนให้อ้วนเสี้ยวและรับตำแหน่งเป็นพระยาสมุหกลาโหมแทน
4.3.2) นายพันมณฑลนครหลวง (ซือลี่เสี้ยวเว่ย) (司隸校尉) ทำให้โจโฉมีอำนาจปกครองมณฑลนครหลวงโดยตรง (แต่ในทางปฏิบัติโจโฉมีอำนาจแค่ทางฝั่งตะวันออกของมณฑลในแถบลกเอี๋ยง ขณะที่ทางฝั่งตะวันตกแถบเตียงอันยังอยู่ภายใต้อิทธิพลของลิฉุยอยู่)
4.3.3) ได้รับอนุญาตให้สามารถสืบบรรดาศักดิ์พระยาระดับหมู่บ้าน (เฟ่ยถิงโหว) (費亭侯) ต่อจากโจโก๋ผู้เป็นบิดาได้* ทั้งยังได้รับบรรดาศักดิ์ใหม่เป็นพระยางอเป๋ง (อู่ผิงโหว) (武平侯)
*ลักษณะอีกประการหนึ่งของบรรดาศักดิ์โหว คือตำแหน่งจะไม่สืบทอดไปยังลูกหลานโดยอัตโนมัติ ราชสำนักจะเป็นผู้พิจารณาว่าควรให้ลูกหลานสืบทอดตำแหน่งต่อหรือไม่ หรือควรริบตำแหน่งดังกล่าวคืน
การขยายอิทธิพลอย่างช้าๆ ของโจโฉ บวกกับการได้ฮ่องเต้มาอยู่ในอาณัติ ทำให้พอถึงปี ค.ศ.197 โจโฉก็ขยายดินแดนครอบคลุมพื้นที่ในมณฑลกุนจิ๋ว อิจิ๋ว และมณฑลนครหลวงฝั่งตะวันออกไว้ได้แล้วเรียบร้อย
4.4) โจโฉซึ่งได้กุมอำนาจในราชสำนักไว้ได้แล้วเริ่มทำการขยายดินแดนออกไปอีก ตอนนี้โจโฉไม่ต้องกลัวอีกต่อไปแล้วว่าจะโดนข้อครหาว่าเป็นโจรกบฏชิงดินแดน เพราะเขาสามารถใช้พระราชโองการของฮ่องเต้ออกมาแก้ต่างความผิดของตนได้ทุกเมื่อ ณ ตอนนั้นอ้วนสุดได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นฮ่องเต้ โจโฉจึงประกาศให้อ้วนสุดเป็นโจรกบฏล้มราชบัลลังก์ในทันที และได้แต่งตั้งให้ลิโป้ เล่าปี่ และซุนเซ็กผนึกกำลังกันร่วมปราบอ้วนสุด เมื่อมั่นใจว่าฝั่งตะวันออกนั้นปลอดภัย โจโฉก็ใช้โอกาสดังกล่าวขยายดินแดนทางตะวันตก ซึ่งคนที่โดนโจโฉเล่นงานก็คือเตียวสิ้วแห่งหัวเมืองลำหยง (หนานหยางจวิ้น) (南陽郡) ทางเหนือของเกงจิ๋ว แม้ผลการรบในช่วงปีแรก (ค.ศ.197-198) ระหว่างโจโฉกับเตียวสิ้วจะเสมอกันไม่แพ้ไม่ชนะ แต่โจโฉก็ประสบความสำเร็จในการปราบปรามลิฉุยในเตียงอัน โดยโจโฉส่งทูตไปเจรจายุแยงให้บรรดาขุนศึกในเตียงอันแตกคอกัน ท้ายที่สุดลิฉุยก็ถูกขุนพลใต้บังคับบัญชาชื่อตวนอุยสังหาร ก่อนจะนำศีรษะของลิฉุยมอบให้แก่โจโฉเพื่อน้อมสวามิภักดิ์ เป็นอันว่าเพียงปีเดียวหลังขยายอิทธิพลสู่ตะวันตก เตียงอันและฝั่งตะวันตกของมณฑลนครหลวงก็ตกอยู่ใต้อำนาจของโจโฉโดยสมบูรณ์
4.5) โจโฉยังไม่ทันเสร็จศึกกับเตียวสิ้ว ภัยคุกคามใหม่ทางตะวันออกกลับปรากฏขึ้น ในปี ค.ศ.198 ลิโป้เกิดทรยศและหันไปเป็นพันธมิตรกับอ้วนสุดแทน โจโฉจึงต้องนำทัพร่วมกับเล่าปี่เข้าปราบปรามลิโป้ ศึกนี้กินเวลากว่าหนึ่งปี แต่ในท้ายที่สุดโจโฉก็สามารถปราบลิโป้ได้สำเร็จ แถมยังทำให้โจโฉได้ครอบครองดินแดนชีจิ๋วเพิ่มเติมอีกด้วย* จากนั้นโจโฉจึงให้เล่าปี่นำทัพลงไปปราบอ้วนสุดต่อ กองทัพอ้วนสุดซึ่งอ่อนแอเสียขวัญอย่างมากไม่สามารถต่อต้านได้ก็ยอมจำนนสิ้น อ้วนสุดเองก็ตรอมใจตาย ด้านเตียวสิ้วก็ตัดสินใจเชื่อคำแนะนำของที่ปรึกษาคนสนิทอย่างกาเซี่ยง ตัดสินใจสวามิภักดิ์ต่อโจโฉ เป็นอันว่าภายในปี ค.ศ.199 โจโฉได้รับหัวเมืองลำหยงในเกงจิ๋ว มณฑลชีจิ๋วทั้งหมด และดินแดนตอนเหนือของแม่น้ำฮ่วย (ฮ่วยเหอ) (淮河) ของมณฑลยังจิ๋ว (หยางโจว) (揚州) ซึ่งอยู่ใต้อิทธิพลของอ้วนสุดมาไว้ในครอบครอง
*เล่าปี่ ณ ตอนนั้นอยู่ในสภาพขุนศึกเร่ร่อนหลังสูญเสียชีจิ๋วในลิโป้ จึงต้องมาพึ่งพิงอาศัยใต้บารมีของโจโฉ แม้ว่าเล่าปี่จะได้รับการอวยยศจากโจโฉให้เป็นถึงผู้ว่าราชการมณฑลอิจิ๋ว (ยี่ว์โจวมู่) (豫州牧) แต่เล่าปี่ก็ไม่มีอำนาจเป็นของตนเองจริงๆ ดินแดนอิจิ๋วอยู่ภายใต้การควบคุมของโจโฉเรียบร้อยแล้ว ตำแหน่งที่ได้รับจึงเป็นแค่ตำแหน่งกิตติมศักดิ์เท่านั้น
ภาพประกอบ มณฑลต่าง ๆ ของราชวงศ์ฮั่นตอนปลาย