คิดว่าไม่ยาก คนรวยจริงๆเขาก็มีปัญหาของเขาเหมือนกัน มันแค่ไม่คิดเรื่องเงินทองอีกต่อไป แต่พวกเขาต้องมีเป้าหมายในแต่ละปี คนรวยส่วนใหญ่เป็นคนมีเป้าหมาย ส่วนใหญ่เท่าที่เจอนักเทรดหุ้นรวยๆนะ พวกนี้ฉลาดแล้วคุมจิตใจตัวเองเก่งเหมือนฮันนิบาล พวกนี้จะคิดว่าอันไหนลงทุนน้อยได้ผลมากที่สุด เป็นเศรษฐศาสตร์
ส่วนพวกเราเพราะสร้างธุรกิจแบ่งเป็นสองประเภท ทำให้ตัวเองเป็นกระแส พวกเก็บตัวเงียบ พวกนี้จะแก้ปัญหาแบบนอกกรอบ นอกกรอบแบบคนอึ้งนึกไม่ถึง มันไปทางนี้ไม่ได้ไปทางอื่นเป็นพวกมีแผนสำรองมาก เจอบางคนนี่ติสแตก
นิยายญี่ปุ่นอย่างราชาทาส คนเขียนเขียนแบบอวยมาเคียเวลลีแต่ไม่รู้จริงๆว่าสันดานมาเคียเวลลีเป็นยังไง ต้องไปอ่านหนังสือเล่มอื่น เขาคงอ่านเรื่องเจ้าชายอย่างเดียว ตอนที่มาเคียเวลลีเป็นนักประวัติศาสตร์ เขาวิเคราะห์นิสัยคนได้แบบลุ่มลึกมาก คนเขียนราชาทาสไม่เข้าใจอะไรเลยด้วยซ้ำ เขียนมังกรอะไรผิดหลักฟิสิกส์ ไม่รู้สิสำหรับเรามองว่าราชาทาสโง่มาก ไม่ได้ครึ่งมาเคียเวลลีตัวจริงด้วยซ้ำ คิดอะไรอยู่แต่ในกรอบ ไม่คิดนอกกรอบ คิดแบบเอายุทธการสงครามสมัยก่อนมาใช้ แต่ลืมคำนวณหลักฟิสิกส์ แรงกดดันอากาศ ความดันในทะเลลึก ในราชาทาสเขียนแนวอวย ปัญหามันยังไม่ยิ่งใหญ่ เราคิดว่าโซมะบางทีความคิดมันเป็นเด็กไป
ยังไงก็ให้กำลังใจเขียนมาก่อนก็ได้ เราอาจไม่ชอบคนอื่นๆอาจจะชอบก็ได้
มันมีมุก first world problem ปัญหาของคนในโลกที่หนึ่ง
ซึ่งปัญหาของคนรวยก็จะเหนือกว่านั้นคือ
Rich People Problem
ปัญหาของคนรวยที่เงินไม่ใช่ปัญหา
คนจนหรือชนชั้นกลาง ถูกบีบให้ต้องคิดถึงรายได้มากกว่าคนรวย
อาจจะทำให้สายตาของคนรวยมองคนจนเป็นคนโลภหรือใจแคบในบางอย่างไปได้น่ะครับ
บางครั้งอาจเกิดจากความไม่เข้าใจกัน
อย่างชาวยิวที่ตัดสินใจตามตรรกะ มีไอคิสวสูงกว่าก็จะงงว่าทำไมคนจน คนทั่วไป ถึงตัดสินใจเป็นลูกจ้าง ที่รายได้ไม่พอรายจ่าย ไม่มีโอกาสที่เอาเงินมาลงทุนได้เลย
ในแบบสามส่วนของคัมภีร์ตัลมุด?
แต่มันคือการที่เกิดเติบโตมาด้วยตรรกะต่างกัน
ว่าพ่อแม่ของผมทำสวน ผมก็ทำสวน ข้างๆบ้านทำสวนนี้ได้ราคาดี ก็เลยปลูกตามๆกันไว้ก่อน
ไม่ไปต่อรองบากหน้าหรอกอายเขา ให้พ่อค้ามารับไปนั่นล่ะ ฯลฯ
ที่ชาวบ้านเห้นว่าเป้นเรื่องธรรมดา
แต่ชาวยิวมองแล้วแทบจะไมเกรนขึ้นว่าเกิดอะไร ทำไมคนถึงคิดได้แบบนี้แบบปรับจูนกันไม่เข้าใจ
ถ้าคุยกันต้องยาวแน่ๆ
มาคฃีอาเวลลี่เป็นล้อเลียนใช่ไหมครับ?
The prince
พยายามจะเลียผู้มีอำนาจไว้ในตอนที่โดนเนรเทศ ฮา
ราชาทาสก็นับว่าพยายามจะมองปัญหามากกว่าการใช้กำลัง
แต่เป็นเรื่องของหลักการบริหาร
อย่างน้อยก็ดีกว่าแนวผจญภัยสโลไลฟ์ไปวัวันวันล่ะมั้ง
แต่ผมจะวิ่งไปในอีกทางหนึ่ง
Boot on the face of everyone forever
โลกที่นายน้อยคุมการบ่มเพาะพลังฮา
คนเราจะทำอย่างไรต่ออำนาจเผด็จการที่เหนือกว่า?
โซวมะเพราะได้คนดีดีหลายคนคอยช่วยด้วยล่ะครับ
ผมเจอเล่นเควสต์ในจักรวาล game of throne
ตายไปตั้งหลายครั้งแน่ะ เพระาไว้ใจคนผิด
แต่ในความเป้นจริง มันแก้ตัวไม่ได้ว่าอย่างนั้น
เรื่องความทุกข์ของตัวละคร มุกแบบนั้นมันเหมือนเสียดสีคนรวยมากกว่า ความทุกข์ควรเป็นของที่เหมาะสมกับสถานะ ประชาชนทุกข์เรื่องดูแลครอบครัว ขุนนางทุกข์เรื่องดูแลพื้นที่ ราชาทุกข์เรื่องดูแลประเทศ คนธรรมดาทุกข์เรื่องฝึกยังไงก็ไม่เก่ง คนเก่งทุกข์เรื่องไม่มีคู่ต่อสู้ให้เอาจริงได้ จะให้อินก็ต้องสร้างความทุกข์ให้เหมาะสมกับแต่ละคน เอาทุกข์ที่ควรจะเป็นของคนจนไปใส่เป็นทุกข์คนรวยมันไม่ต่างจากมุกตลก
ส่วนเรื่องดังหรือไม่ดังขึ้นกับเราเขียนให้ตัวเอกมีบุคลิกแบบไหน ยังอยากใช้ชีวิตเงียบ ๆ หรือพร้อมเป็นเซเล็บในแสงไฟ ที่เขียนตัวเอกโนเนม เพราะคนอ่านชอบดูฉากตัวร้ายเย่อหยิ่งนิสัยเสียโดนตบเกรียนเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมาก เรื่องเหตุผลหาเอาได้หมด อยากเกิดเคสโคตรยากที่จำเป็นต้องใช้ฮีโร่คนดังไปช่วยเท่านั้น
แต่เรื่องฮีโร่ใส่หน้ากากกับไม่ใส่เนี่ยผมมีแนวคิดอย่างหนึ่ง "I am Ironman." [/size][size=78%][/size]คุณพร้อมจะเดิมพันด้วย"ชื่อ"ของตัวเองรึเปล่า "พลังอันยิ่งใหญ่มาพร้อมความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง" คำพูดนี้ผมไม่เห็นด้วย พลังของเรา เราควรเลือกใช้หรือไม่ใช้ก็ได้ตามใจชอบ ตอนเราได้พลังมาก็ไม่เคยเซ็นสัญญาว่าจะใช้เพื่อปวงชนซะหน่อย ที่ถูกควรจะเป็น"การใช้พลังอันยิ่งใหญ่มาพร้อมความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง" เมื่อเลือกใช้superpowerก็ต้องรับผิดชอบผลของมันด้วย ถ้าช่วยคนได้ก็ดีไป แต่ถ้าตัดสินใจผิดพลาดจนคนตายล่ะ จะกล้าถอดหน้ากากฮีโร่ออกมารับผิดชอบรึเปล่า หรือถอดหน้ากากใช้ชีวิตเนียน ๆ ไม่รู้ไม่ชี้ เราคนดีเราไม่ผิด ผมว่าฮีโร่คนดังจะมีดราม่าตรงนี้แหละ(เหมือนโทนี่ในซีวิลวอร์) เพราะเขากล้าเปิดหน้า กล้ายอมรับทุกสิ่งที่ตามมา[/font]
ขอบคุณครับ
ปีเตอร์ที่มีแนวคิดนั้นเพราะมาจากการที่"ละเลย" ที่จะใช้พลังสร้างความแตกต่างครับ
ที่มีความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ ไม่ได้มาจากการทำอย่างเดียว
แต่มาจากการ"ไม่กระทำด้วย"
ท่านคงมีแนวคิดที่ชอบสโลไลฟืหรืออะไรต่างๆอยู่ถึงอออกมาอย่างนี้ใช่ไหมล่ะครับ?
ว่าตูข้ามีพลังแล้ว จะใช้อย่างไรก็เรื่องของตูข้า พวกเอ็งไม่เกี่ยว?
ซึ่งก็เป็นหลักการส่วนตัวที่โทษว่ากันไม่ได้
แต่ย้อนกลับไปนิดหนึ่งละกันที่ผมเคยกล่าในอีกกระทู้หนึ่ง
ระหว่างคารซึมะ โคโนสึบะกับได้ตะลุยแดนเวทมนตร์
จอมราชาปีศาจเวิร์นกำลังจะส่งทหารไปครองโลกตามที่ต่างๆ
ไดกำลังหาพรรคพวก
คาซึมะ steal ดาบของไดไปขาย
คาซึมะต้องการมีชีวิตอย่างชิลๆเลยไม่คิดจะไปปราบผีศาจ
แถมยังกลั่นแกล้งให้ไดต้องเสียเวลาหารายได้เพื่อไถ่ดาบของตนเองคืน
ไดที่เสียเวลาไปกับการ steal ของคาซึมะ
ทำให้ไปช่วยหลายวิบเมืองที่ถูกราชาปีศาจเวิร์นไม่ทัน?
ท่านว่าท่านคิดว่าใครผิด?
ท่าไม่โทษคาซึมะที่ทำตามสไตล์ของตนเองและใช้ีวิตตามที่ตนเองชอบหรือเปล่า?์
มองว่าไดเป็นคนจริงจังเกินไป คิดที่จะปราบปีศาจ?
แต่สถานการณ์ความจริงคือ
โลกไม่หมุนตามใจของเรา
เราสโลไลฟ์ได้ แต่ราชาปีศาจเวิร์นก็ไม่สโลไลฟ์ไปกับเรานะครับ
คนอยู่ในยุทธจักรไม่เป็นตัวของตัวเองก็เพราะเหตุนี้
สไปเดอร์แมนไม่ช่วยคน
นิวยอร์กจะโดนเทคโนโลยีตต่างดาวบุกถล่ม ท่านก็ยังโอเค?
นั่นคือผลจากการ"ไม่กระทำ"ของท่านล่ะครับผม
ไม่ได้โทษว่าท่านเป็นคนทำให้เกิดขึ้น แต่บอกว่าผลที่เกิดขึ้นเพราะท่าน"ไม่ทำ" แบบเดียวกับที่สไปเดอร์แมนรู้สึกล่ะครับ..
เรื่องชื่อเสียงผมหมายถึงการเคลื่อนไหวตัวยากน่ะครับ
ไม่ว่าไปทางไหนก็จะมีคนเฝ้าจับตา
มีคนบ่นว่าเจเคคิดแปลกๆที่หใ้แฮร์รี่รวยและมีชื่อเสียงแต่ยังเขียนให้เหมือนแฮร์รี่ด้อยกว่าชาวบ้านอีก
พยายามจะเน้นแต่ข้อเสียว่าอย่างนั้นซึ่งก็ดีมั้งในการสร้างเรื่องสอนเด็ก
แต่ในทางดำเนินเรื่อง มันจะดำเนินเรื่องไปอย่างที่ท่านว่าล่ะครับ
ภาษาหนังจีน นิยายจีนคือคนอยากกระทืบนายน้อยนิสัยยไม่ดีบ้านรวยแล้วเบ่งกับคนธรรมดาไม่มีชื่อเสียง
ถ้าพระเอกเป็นคนที่มีชือเสียง บ้านรวย นายน้อยเสียเองมันใช้มุกนั้นไม่ได้
ทื่ผมว่าคือพยายามจะทำให้มันจริงจัง ไม่ใช่เสียดสีครับ
แต่จะมองใมุมมองแบบตึงเครียด
ว่าปัญหาที่คนรวยเจอก็ยังเป็นปัญหาสำหรับเขา
แค่คนจนมองเหมือนกับว่าเรื่องเสียดสี แต่มันคือปัญหาที่คนรวยเครียดจริงๆ
เอาแบบโดฟลางมิงดก้ในวันพีซล่ะครับ
ภาพเด็กสาวที่มีอาหารเต็มโต๊ะร้องไห้
หน้าตาของเด็กที่พบเศษอาหารและกระดูกคนยิ้มแย้ม
มันอาจจะตลกสำหรับเราแต่ไม่ตลกสำหรับคนรวยล่ะครับ
มันจะง่ายตรงที่ดึงดูดความสนใจได้ง่ายกว่า ยากตรงที่หาอะไรท้าทายพระเอกไปเรื่อยๆ
ส่วนใหญ่จะออกแนวกาว เก่งแต่ไม่อยากดัง เก่งแต่ไม่รู้ตัว ลากยาวไปเรื่อยๆ เอาจริงๆ ที่เห็นเรื่องส่วนใหญ่พระเอกต้องเก่งและมีชื่อ เต็มที่ก็แค่ปกปิดตัวตน สไปเดอร์แมนก็ดัง แต่เจ้าตัวปกปิดตัวตนที่แท้จริง ถ้าให้ตัวเอกไม่เก่ง เอาว่าไม่ต้องโง่ แต่ตัดสินใจแบบคนธรรมดาเด็กธรรมดาตามวัย คนดูก็ด่าว่าโง่แล้ว แต่งพระเอกเป็นคนธรรมดาแล้วค่อยๆเก่งแต่งยากมาก ไม่ค่อยมีเรื่องไหนดัง เทียบกับแบบโผล่มาแปปๆเก่งแนวฮีโร่นี่เกลื่อน
ส่วนพระเอกจะรวยไม่รวยก็เป็นคนดีได้ อย่างแบทแมน ไอออนแมนโครตรวยคนก็ชอบเยอะเพราะอุทิศชีวิตปกป้องผู้คน
ก็นั่นล่ะครับ
ไซตามะวันพันซ์แมนก็พยายามแสดงปัญหาของพระเอกที่เก่ง แสดงแง่มุมที่เจอกับปัญหาที่ไม่สามารถแก้ได้ด้วยกำลังแต่เพียงอย่างเดียว
แบทแมนว่ากันจริงๆคือ powerfantasy ของคนธรรมดาล่ะครับ
ว่าคนธรรมดาก้สู้อยู่ในกลุ่มของคนที่มีพลังดุจเทพเจ้าได้ด้วยสติปัญญยา การประดิษฐ์และเงิน ฮา
เงินจึงนับเป็นซุปเปอร์พาวเวอร์พลังพิเศษอย่างหนึ่งในจักรวาลคอมมิค
ผมพยายามจำลองภาพของคนที่มีฐานะดีในหัวล่ะครับ
มุกแบบหนังจีนคือมุกนายน้อย
หรือแบบโอโตเมะคือกลับชาติมาเกิเเป็นนางร้ายลุกสาวดยุคล่ะครับ
เมื่อถานะสูงที่สุดในแผ่นดินอยู่แล้ว สูงกว่านางเอกที่เป็นขี้ข้า ไพร่ชั้นต่ำด้วยซ้ำมาตั้งแต่ต้น
สถานะและทรัพยากรก็ต่างกันมหาศาล
เรียกว่าก็มีความเครียดของตนเองเช่นกันล่ะมั้ง?
ที่แนวโอโตเมะพยายามจะสื่อ
คือไม่ใช่อะไรที่นึกภาพคือผมพยายามนึกภาพว่า
หากคนมีตระกุลชั้นสูงในแนวxianxia หรือแนวเวทมนตร์
การที่เป้นคนดัวมาตั้งแต่แรก มันทำลายมุกที่นักเขียนจะใช้สร้าง"ความขัดแย้ง"
ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในการดำเนินเรื่องน่ะครับ
เช่น เมจอาจจ้องชิโร่ว่าเป็นคนชั้นต่ำ บ้านนอก อย่างญี่ปุ่น
แต่กับคนที่มีที่ดินรในลอนดอน land gentry อย่างทื่ว่าก็ต้องมองไปอีกแบบหนึ่ง
ความขัดแย้งแบบปรกติอาจจะหายไปอาจจะต้องแปลงความขัดแย้งเป็นแนวโอโตเมะ
ว่าอธิบายสาเหตุที่เมจชนชั้นสูง ดูถูกคนชั้นต่ำว่ามันมีที่มาอย่างไร
แบบเดียวกับที่ลุกสาวดยุก ดูถูกนางเอกไพร่ชั้นต่ำว่าอย่างนั้น
ซึ่งคนเราก็ชักรู้สึกแปลกๆล่ะ
เพราะแนวโอโตเมะพยายามซ่อนในแนวที่นางเอกตอแหลชั่วช้าสารพัดได้
หากเราเป็นคนชั้นสูงที่รังเกียจคนตระกุลต่ำ
คนเราจะรู้สึกชักไม่ชอบล่ะ
ที่ผมเจอมาเรื่องหนึ่งคล้ายๆกันมั้ง
เจ้าชายฟิลิฟสวามีของควีนอลิซาเบะ ต้องการพบพวกนีลอาร์มสตรองที่ไปดวงจันทร์
ต่พบแล้วก็ผิดหวังที่พบว่าต่างจากที่เจข้าชายฟิลลิฟคิด
ว่าคนที่ไปดวงจันทร์พวกนี้ก็เป็นแค่ Blue collar คนใช้แรงงานธรรมดาไม่ใช่คนอย่างที่เจ้าชายฟิลลิฟวาดฝันเอาไว้
นั่นคือความคิดคนรวยล่ะครับ
มันติดในกมลสันดานแบบไม่ได้ตั้งใจน่ะ