มันขึ้นกันคุณมีแนวคิดทางการเมืองแบบใหนนั่นละครับ พอดีผมค่อนข้างอวยวอลแตร์ อวยลิเบอรัลยุโรป(ย้ำว่า ลิเบอรัลยุโรป ไม่ใช่ลิเบอรัลไทย) เพราะอย่างนั้นเลยเชื่อหลักการของวอลแตร์ เกี่ยวกับเสรีภาพในการพูด เขียน หรือประชาสัมพันธ์ ถ้าเจ้าของร้านขายของสักแห่ง ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ LGBT คุณมีสิทธิที่จะไม่ซึ้อของร้านนั้นได้ ถ้าคุณไม่ชอบ แต่จะไปจับเจ้าของร้านนั้นเข้าคุก นี่เกินไป หรือไปวางเพลิงร้านเขา หรือนักวิชาการออกมาพูดประเด็นกฏหมายการเงิน ภาษี คุณมีเงิน มีทรัพยากร คุณสามารถไม่จ่ายเวงินคุณสนับสนุนนักวิชาการคนนั้นได้ แต่ไปcyberbulling จนเขาฆ่าตัวตายนี่มันไม่ใช่ ผมถึงไม่ชอบพวก social justice warrior ที่ชอบออกมาเรียกร้องให้เซนเซอร์โน่นนั่นนี่ แบนนั่นแบนนี่ หรือว่าประนามพวก pedo ละครับ โดยเฉพาะการแทรกแซงของนอกประเทศ
ลิเบอรัลยุโรปคือกระดานเลื่อนไปสู่ฟาสซิสม์ครับ
ท่านอย่าลืมว่าฮิตเลอร์นรี่คือเด็กศิลปะ แนวความคิดลิเบอรัลสังคมนิยมนะครับ
เพระาเขาเติบโตมากับแม่ของเขาที่เลี้ยงดูเขาอย่างยากลำบาก เขาเลยออกนโยบายสวัสดิการแก่มารดาและเด็กพอสมควรและแกเป็นคนวีแกน และรณรงค์ไม่สูบบุหรี่ด้วย
เรียกว่าทำทุกอย่างเพื่อสุขภาพและความดีงามล่ะครับแต่ปัญหาคือ ผลลงเอยจากแนวความคิดคุณธรรมของแกนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงที่สุดหน้าหนึ่งของมนุษยชาติน่ะครับ
แนวความคิดของท่านน่าจะเป็น libertarian มั้ง
ที่บอกว่าคนเรามีเสรีที่จะคิด ไม่มีสิทธิเบียดเบียนกันและกัน แต่โดนวิจารณ์ว่า สังคมของ libertarian จะเกิดขึ้นได้ก็ตอ่เมื่อทุกคนยึดถือแนวความคิดเสรีภาพเป็นศาสนาหลักเท่านั้นว่ามันคือสิ่งที่ไม่อาจมีสิ่งใดเหนือกว่า dogma แนวคิดที่ไม่อาจโต้แย้งที่จะเป็นรากฐานของโลกเสีตามอุดมคติ
แต่ปัญหาคือ แนวคิดไม่อาจรวมใจคนได้ คนมองแนวคิดเสรีเป็นแค่เครื่องมือ มองเป็นแค่วิธีการที่จะเผยแพร่แนวความคิดความเชื่อของตนเอง
มองเสรีภาพเป็นแค่ส่วนประกอบของแนวคิดหลัก
คนที่ถือเสรีภาพเป็นหลักจะโดนฉวยโอกาสจากแนวความเชือ่อื่นๆ
มันถึงมีแนวคิดผู่้ก่อตั้งประเทศอมเริกาไงครับว่า
"ต้นไม้ของเสรีภาพจะเติบโตได้ด้วยเลือดของผู้รักชาติ ไม่ก็ทรราชย์"
เราต้องปกป้องเสรีภาพด้วยชีวิตไม่ด้วยของเราที่เป้นผู้รักชาติ ก็ของคนอื่นที่จะพรากเสรีภาพไปจากเรา
อาศัยการเสียสละ ความอดทนและสู้เพื่อความดีงาม..ทำให้ท่านกลายร่างเป็นฮิตเลอร์ไปในที่สุดในปลายเส้นทางความคิดนั้น
ระบบการปกครองใดๆ มีช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการใช้ตามยุคสมัย
แต่สังคมที่ประชากรสามารถพัฒนาศักยภาพตัวเองได้มากเท่าไร ความยุติธรรมยิ่งเป็นสิ่งจำเป็น เพราะในระยะยาว
สิ่งเหล่านี้นอกจากปกป้องคุ้มครอง สวัสดิภาพประชากรแล้ว ยังเป็น 1 ในตัวการันตีว่า ประชากรมีโอกาสที่จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการปกครองได้
โดยไม่ถูกผู้มีอำนาจ ฆ่าตัดตอนก่อน แบบไร้ความรับผิดชอบใดๆได้ง่ายๆ สังคมที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองได้ ในอุดมคติคือ สังคมนั้น
เปิดรับความเปลี่ยนแปรงและปรับปรุงต่อยอดได้เรื่อยๆเพิ่มโอกาสในการพัฒนาประเทศแบบยั่งยืนมากๆ
แต่สังคมระบบปิดที่เอาความยุติธรรมกองใว้ข้างหลังเน้นความมั่นคงอย่างเดียว พวกนี้อาจจะมีช่วงรุ่งเรื่องได้แค่ช่วงหนึ่งๆ เพราะการปิดโอกาสให้คนเก่งๆ
ที่เห็นต่างถูกกำจัดได้โดยง่าย เพราะไม่มีความยุติธรรมรับรอง คิดว่าสังคมแบบนั้นปลายทางคืออะไรละ
ผมไปเจอประโยคหนึ่งครับ illusion is important ภาพลวงตานั้นสำคัญ คำโกหกนั้นสำคัญ
ที่ก่อนหน้านี้คนชอบด่าว่าประชาธิปไตยแค่ห้าวินาทีตอนกาเลือกตั้งกัน ดูถูกชาวบ้านๆต่างๆนานา จนมาปัจจุบันแมท้กระทั่งห้าวินาทีก็ไม่สามารถให้ได้ เลยเกิดความวุ่นวายตามมา
ภาพลวงตานั้นสำคัญ ทำลายภาพลวงตาและคำโกหกไป จะย้อนกลับคืนมาก็ยากแล้ว
หากคนศึกษาแนวความคิดนี้จริงในระดับผู็นำอาจจะดูเทพในแบบจอมมารเรียลลิสม์
แต่พอที่ปรึกษาใช้เรีลลิสม์บ้างผลจะเกิดอะไร?
และที่ร้ายแรงกว่านั้นหากแนวคิดนี้แพร่หลายไปที่ประชาชนล่ะ?รัฐจะยังคงสภาพเป็นรัฐได้หรือ?
นี่คือที่ผมคิดล่ะครับท่าน
ความยุติธรรมนั้นสำคัญมากๆในการผ่อนคลายความคับข้องของประชาชน
กระบวนการยุติธรรม อาจไม่สามารถแก้ปัญหาแต่ชาวบ้านก็ยังพูดหลอกตนเองได้ก่อนหน้านี้ว่า
"บ้านเมืองมีขื่อมีแปร" ที่ชาวบ้านต้องทนสารพัด
มีตำรวจอยู่ก็เหมือนไม่มี ทำแบบขอไปที
แต่แค่มีอยู่ก็สามารถปลอบประโลมใจชาวบ้านได้ระดับหนึ่งว่ามีความหวัง
แต่หากทำให้ชาวบ้านเริ่มรู้ตัวว่า คุธรรมมันไม่เวิร์ก และไม่ใช่เรือ่งที่ผู้นำคิดอยู่
ชาวบ้านจะเริ่มคิดแบบผู้นำไปในทางว่า
"ถ้าผู้นำไม่ยึดถือคุณธรรมยึดถือผลประโยชน์เป็นหลัก ทำไมเราต้องยอมเสียสละเพื่อชาติรัฐด้วย?"
เรีบลลิสม์ในระดับผู้นำอาจจะพอได้ แต่หากแนวคิดเรียลลิสม์กลายเป็นกระแสกหลักล่ะก็ ชาติอยู่ไม่ได้แน่นอน