X-men รร.ของเซเวียร์ หลักๆก็สอนควบคุมพลัง กับวิชาที่มนุษย์เรียนทั่วไปตามปกติ
เพื่อให้จบไปอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้อย่างปกติ ควบคุมพลังได้ แต่จะเอาไปใช้ทำอะไรก็แล้วแต่
เหมือนโรงเรียนเด็กพิเศษในโลกเรา
แต่ส่วนใหญ่ ตัวละครเด่นๆก็จะอยู่เป็นอาจารย์, ทำภารกิจอะไรแบบนี้ ดังนั้นพวก mutant ทั่วไป ก็น่าจะแค่กลับไปอยู่สังคมได้แค่นั้นแหละมั้ง ส่วนจะหางานเหมาะกับพลังตัวเองนี่ไม่ค่อยเห็นแฮะ
ไซคล็อปป์ก็ได้ดิบได้ดีเป็นผู้ปกครองอาณาจักรมิวแตนท์น่ะครับ
จีนเกรย์ก็กลายเป็นผู้ทำลายดวงดาวอะไรไป
แต่ที่สังเกตคือ ไม่ได้เอาความสามารถพิเศษไปใช้ประโยชน์ทางธุรกิจหรือสังคมเลยว่าอย่างนั้น
บีสต์นั้นก็มีสมองที่ฉลาดมาตั้งแต่ต้นแล้ว
เซเวียร์ก็สะสมอาวุธไว้เยอะกว่าคลังแสงบางคลังแสงของรัฐอีก
แค่อาวุธหรือหุ่นมักป้องกันพวกเทพๆที่มาบุกไม่ได้เท่านั้นเอง
อาจจะเพราะมีการโดนแซวว่าระบบรักษาความปลอดภัยกระจอก แต่รู้สึกตัวอีกที คนธรรมดาไม่น่าจะบุกได้เพราะมีหุ่นยนตืปืนกลและเอะไรต่างๆเพียบ
แค่มันกันคนเทพๆอย่างจักเกอน็อทหรือพวกหุ่นของรัฐบาลไม่ได้เท่านั้นเอง
เหมือนเคยได้ยินว่าคนที่จบจากเมืองการศึกษามี 2 ประเภท คือ ถ้าไม่หางานในเมืองก็กลับบ้านแต่จะถูกสั่งห้ามใช้พลังนอกเมือง คิดว่าส่วนใหญ่ที่เลือกกลับบ้านแล้วก็เลเวลไม่เกิน 2 (80-90%ของเมือง) น่าจะแค่ถูกขึ้นทะเบียนหนะแหละครับเพราะพลังจิตไม่ได้มีประโยชน์อะไรมาก
แต่มาลองคิดดูว่าตอนสัมภาษณ์งานบอก HR ว่า "ผมเป็นผู้มีพลังจิตเลเวล 2 สามารถงอช้อนกับจุดไฟบุหรี่ได้ครับ" คงจะฮาน่าดูเหมือนกัน
คือประมาณว่าในเรื่องยังไม่ค่อยมีคนจบการศึกษาน่ะครับ
ผู้ใหญ่ในเรื่องจะเป็นคนไร้พลัง แต่เราสังเกตว่าหลายคนจะเป็นแอนติสกิล ที่มีทักษะของตำราจต่า่งๆอยู่ด้วย
เรื่องพยายามเขียนให้เราคิดว่าคนธรรมดามีผลอย่างตอนให้แอนติสกิลช่วยโทวมะ
แต่ความจริงคือ อยู่ต่อหน้าพลังเทพๆ แอนติสกิลที่ใช้มือเปล่าจัดการคนได้นับสิบคนก็เป็นแค่เหยื่อเท่านั้นล่ะ
ไปหาข้อมูลเพิ่มมาถึงรู้ว่า เหมือนเมืองแห่งการศึกษายังไม่มีคนเรียนจบแล้วมาทำงานในเมืองเลยนะ ลองคิดดูสิ นิยายออกมาตั้งขนาดนี้ สปินออฟก็มีตั้งแยะ ยังไม่เคยเห็นผู้ใหญ่ใช้พลังจิตในเมืองเลยซักคน
แล้วเรื่องที่จะให้ออกไปข้างนอกมันก็ออกได้ตราบเท่าที่ไม่ได้เกี่ยวกับแผนของอเลสเตอร์ แต่ก็เสี่ยงโดนขโมย DNA อยู่ดี ถึงจะมีการฝังนาโนดีไวส์เพื่อติดตามการเคลื่อนไหวตลอด 24 ชม.ก็เถอะ แต่ถ้าแบบนั้นสู้จ่ายเงินเดือนให้โดยแลกกับการต้องอาศัยอยู่ในเมืองไปตลอดชีวิตน่าจะง่ายกว่าเยอะเลยนะ สวัสดิการณ์ก็ครบ เทคโนโลยีก็ล้ำ บางคนก็เกิดและโตที่เมือง บางคนอยู่ในเมืองก็หาเงินได้ตั้งแยะ บางคนก็เด็กกำพร้า อยู่กินเงินสบายๆน่าจะง่ายกว่าเยอะเลย ถ้าคิดถึงคนในครอบครัวก็คิดซะว่าเหมือนลาหยุดงานไปพักผ่อนก็น่าจะได้ละนะ
ส่วนเรื่องที่ว่าปิดเทอม กลับบ้านแล้วเอาพลังไปใช้เนี่ย เหมือนจะมีการเขียนสัญญาห้ามใช้พลังกันด้วยนะ ถึงจะมีกรณีที่เสี่ยงโดนขโมย DNA แต่ถ้ามีการฝังนาโนดีไวส์แล้วแบบนั้นคงหาการป้องกันได้นะแหละ
แต่ทั้งนั้นทั้งนี้ นี่มันก็เรื่องแต่งละนะ อะไรที่อาจารย์แกไม่ได้เขียนไว้หรือไม่เมคเซนส์ ถ้าหลับตาข้างเดียวก็อาจจะง่ายกว่าก็ได้ละมั้ง
แต่ส่วนตัวแล้วผมคิดว่า [spoiler/]
อย่างที่ว่าล่ะครับ
เมืองนี้ยังมไม่เคยเห็นคนที่จบการศึกษาหรือผู้ใหญ่ที่จบการศึกษา
แต่มีการค้นคว้าก้าวหน้าไปกว่าสามสิบปีจากโลกภายนอก
มีการจัดการเทคโนโลยีที่รั่วไหล
มีการเล่นมุกบุกเมืองการศึกษา
เพราะคนเขียนท่าทางจะรู้ตัวว่าเมืองคือกลุ่้มคนรุ่นใหม่ที่แข็งแกร่งที่สุดว่าอย่างนั้น
มิโคโตะ แม้จะดูกระจอก แต่นั่นเพราะเทียบกับพวกเทพเหนือเทพ
แต่ความจริงคุณเธอ ตบบคนที่ไม่ใชช่เลเวลห้าได้ทุกคนและจัดการกองทัพคนธรรมดาได้อย่างไม่คิดมาก
เรียกว่าเนื้อเรื่องดำเนินให้เราคิดว่ามิโคโตะเป็นสาวน้อยอ่อนแอต้องการคนช่วยเหลือ เพราะเรื่องบีบให้เธอต้องเจอกับพวกสัตว์ประหลาด เทพเหนือเทพในโลกนั้น
ในสายตาคนธรรมดา เธอคือคนที่สามารถจัดการทหารทั้งกองทัพได้อย่างง่ายดาย
อย่างที่บอกครับ
โลกจะถูกกไหนดทิศทางด้วยมือของคนไม่กี่คนถ้าพลังพิเศษเหล่านี้มีจริง
แต่อาจจะเล่นมุกว่าพวกผู้นำประเทศอย่างอังกฤษหรือโบสถ์ ยังครองดินแดนได้เพราะพวกนี้มันเทพ มีพลังของตนเองพออยู่แล้ว
เรื่องเอาเด็กมาสอนสนับสนุนส่งเสริมพลังพิเศษ แต่ไม่มีลู่ทางอาชีพรองรับนี่ผมสงสัยมาตั้งแต่ตอนอ่าน the white road ตั้งแต่เกือบจะยี่สิบปีก่อนละ
การจะมีงบมาตั้งโรงเรียนนี่มันควรมี demand มาก่อนว่าจะเอาคนพวกนี้ไปทำอะไร(เช่นเป็นทหาร งานโยธาก่อสร้าง) มันถึงคุ้มที่จะตั้ง
ผมเลยอธิบายในใจตัวเองไปว่าที่ตั้งโรงเรียนมานี่จุดประสงค์หลักไม่ใช่เพื่อจะเอาไปใช้งานเป็นอาชีพ แต่เพื่อจะได้เฝ้าดูและควบคุมพฤติกรรมของคนที่มีพลังพิเศษได้ หรือเหตุผลทางการวิจัย
ผมก็ชอบ white road นะเป็นเรื่องราวยุคแรกที่ทำให้เรื่องแนวนี้ดัง
แต่อาจจะเล่นมุกแบบโอโจไวท์ไนท์ในเรื่องอายชิลด์ก็ได้ครับ
สิบเปอร์เซ็นกลับประเทศเพื่อขึ้นครองราชย์
ว่าแต่ละคนในเรื่องมีฐฐานะเป็นลูกคุณหนูร่ำรวย มีอาณาจักรของตนเองกันทุกคน ฮา
เอาแบบแนว DnD ที่ผมเคยเจอก็ออกแนวคลาสสิค ไม่มีสมาคมนักผจญภัย แต่ออกแนวพบกันในโรงเตี๊ยม ทำสัญฐยาตั้งกลุ่มกันเอง
นักเวทย์ พ่อมด ก็จะเล่นมุกรับลูกศิษย์และขลุกอยู่ในหอคอยนานสิบปียี่สิบปีวันวันไม่ไปไหน
หรือหากอยากได้งบสนับสนุนถ้าเราเป็นพ่อมด ก็ต้องไปทำงานรับจ็อบกับพวกผู้ปกครองแผ่นดินต่างๆ เป็นที่ปรึกษา ปราบผีสิง สัตว์ประหลาดในดินแดน
witcher เล่นมุกขายพวกไอเท็มแนวไวอากร้า ฮา
ถ้าเป้นอัลเคมิสต์ก็มีรายได้เสมอล่ะครับ
มุก idiocracy คือ คนจะสนใจแต่ยาเพิ่มขนาดอวัยวะและยาปลูกผม มากกว่ายารักษามะเร็ง
[quote/]
ไอ้เรื่องเขียนโปรแกรมนี่ก็งงเหมือนกันว่ามันเป็นเวคเตอร์ยังไง
ต้องถามคนอ่านนิยายว่ามันอธิบายไว้ว่าไง
ส่วนควบคุมทิศทางเลือดถือว่าค่อนข้างดี
แต่สเกลการรักษาในเรื่องนี่ จะคอขาดหัวแหว่ง
ขอแค่ยังไม่ตายแล้วส่งถึวมือหมอทันก็มีโอกาสรอด
ถ้าใครสงสัยว่าหงอกค่าตัวแพงยังไง
หงอกเวลาจะใช้พลังต้องอาศัยมิซากะเน็ทเวิค
จำไม่ได้ว่าเท่าไหร่แต่คุ้นๆว่าหลักหมื่น
ถ้าเทียบเงินเดือนโคลน คิดที่ค่าครองชีพญี่ปุ่นซัก 50000 บาท
10000 คน ก็ 500 ล้าน
หงอกไม่ได้ใช้พลังตลอดเวลา คิดที่ 10% คือ 50 ล้านบาท
เงินเดือนหงอกขั้นต่ำควรจะ 50 ล้านเป็นขั้นต่ำเลยนะ
ถ้าเงินเดือนของเวล 3 สูงกว่าคนปรกติ
เผลอๆค่าแรงให้หงอกใช้พลังอาจจะพุ่งถึง 1000 ล้าน
เพราะงั้นงานเกือบทั้งหมดในตลาดงาน ไม่คุ้มที่จะทำเลย
เคสนี้ผมมองแนวบากิน่ะครับ
ว่าราคามิสไซล์อาจจะถูกกว่าจ้างป๋ายูจิโร่
แต่ป๋ายูจิโร่กระทืบทุกคนที่เราต้องการได้ตรงประเด็นกว่ามิสไซล์
เมืองการศึกษารวยมาก
ขายเทคโนโลยีบบางอย่างแก่โลกภายนอกได้ก็อยู่ได้สบายๆแล้วว่าอย่างนั้นครับ
[quote/]ไม่ได้ใช้ฟรีนะ มีเงินให้ ค่าตัวที่ไปทดลองงานต่างๆนั่นแหละ
เจ้าเม่นก็ได้อยู่ทุกเดือน แต่โดนกาฝาก 2 ตัวแดรกหมด
ตามทางการมันได้เงินเดือนน้อยน่ะครับเพราะเป็นเลเวล 0
แต่อย่างว่าล่ะเพราะนั่นคือสิ่งที่เม่นมันต้องการว่าอยากเป็นคนธรรมดาต่างหาก
เพราะพลังพิเศษของมันแสดงมาตั้งแต่เด็กว่าเป็นของจริงมาตั้งแต่ต้น เลยอยากเป็นคนธรรมดา