ถ้า ธุรกิจที่มีความเสี่ยง สูงล่ะก็ดู อีลอนเป็นตัวอย่างได้ครับ
ถ้าผมจำไม่ผิดคืออีลอน ที่รวยมาครั้งแรกเลยเพราะ ขาย paypal ให้อเมซอน
ในยุคนั้นคนยังไม่ค่อยชอบมี บัตรเครดิต หรือบางคนไม่อยากมีเลยเพราะเหมือนโดนตรวจสอบได้
เขาเลยใช้ paypal กันอเมซอนตอนแรกก็รับ paypal แต่พอเห็นว่าคนจ่ายเงินง่านเจ้านี่เยอะมาก เสียค่าทำเนียมนิดๆ หน่อยก็จริงแต่จำนวนครั้งมันเยอะมาก ซื้อแม่มเลยดีกว่า
อีลอนเลยได้เงินไปราวๆ 1000 ล้าน ได้ตังมาก็เอาส่วนนึงไปทำจรวด อีกส่วนไปทำรถไฟฟ้า ไอ้เรื่องทำจรวด นี่มีแต่คนด่ากันทั้งนั้นว่าเจ้งแน่ๆ
เอาเข้าจริงก็เกือบเจ๊งนะครับ คือยิงจรวดระเบิดจนหมดตัว ไปสำเร็จตอนที่มีเศรษฐีคนนึง
ให้ทุนทำให้มายิงจรวดต่อได้อีกนิด รอบนี้แหละสำเร็จ แถมต่อยอด บ.ตัวเองโดยการจะทำ เน็ตดาวเทียม ที่กสทช. บ้านเรากำลังขวางอยู่นี่แหละ
แต่ในมุมมองผม เปิดใช้งานกันเต็มที่เมื่อไร ขวางไม่อยุ่แน่นอนสุดท้ายต้องเปิดให้ใช้แน่ๆ
เพราะ การสื่อสารระหว่าประเทศ ไกลๆ กันมากในระดับข้ามทวีปข้ามทะเล มีข้อจำกัดเรื่องการลากสายเพิ่ม เน็ต starlink เต็มประสิทธิภาพเมื่อไร แก้เรื่องนี้ได้ล่ะก็ยังไงเราก็ต้องไหใช้ตามอยู่ดีนั่นแหละ
ตอนนี้เปิดโรงงานรถไฟฟ้า โรงงานแบต ไหนจะเตรียมตัวเปิดบ.ขนส่งอีก(อีลอนวางแผน ให้อีกหน่อยรถไฟฟ้า เอามาทำแท๊กซี่ไร๊คนขับ)
กลายเป็นว่าอีลอนกลายเป็นคนที่รวยที่สุดในโลกไปแล้วนะเวลานี้ ปีหน้าแกจะส่งเที่ยวบินจรวดไปดวงจันทร์(ยังไม่ส่งคนจริงๆไป แต่ก็คงไม่นานหลอกถ้าทดสอบสำเร็จ)
อีก5 ปีหลังจากนั้นจะส่งจรวดไปดาวอังคาร
ดูแล้วอีลอนนี่ยังไปได้อีกไกลแฮะ
ซึ่งการลงทุนแบบอีลอนนี่เรียกได้ว่าเสี่ยงกันแบบ YOLO เลยนะครับ
เป็นเราๆท่านๆ จะกล้าเสี่ยงไหมกับการเอาเงิน 1000 ล้านไปทุ่มกับธุรกิจที่
อาจจะไม่ประสปความสำเร็จสูงมากอย่างการยิงจรวดสู่อวกาศ
นาซ่าทุ่มงบเกือบๆ 20000 ล้าน USD ในเวลา10กว่าปี 20ปี
แต่อีลอนทำได้ในงบ แค่ 1 ใน10 ของนาซ่า
อีลอนขอตังคนอื่นมาร่วมลงทุนเน้อ ถึงจะล้มก็ไม่ได้ล้มคนเดียว
ไม่เชื่อดูอัตราถือหุ้นได้ อีลอนถือครึ่งเดียวเอง
เผื่อบางคนไม่รู้ เวลาการขายหุ้นให้นักลงทุนที มันเหมือนเอารายได้ล่วงหน้ามาเป็นเงินสด
อย่าง ปั้ม ptt รอบนี้ขายหุ้นด้วยราคากำไรในอนาคต 20+ ปีได้
อีลอนก็คงคล้ายๆกัน ตั้ง บ. มา ทำๆไปซักพัก พอเป็นรูปเป็นร่าง ก็ระดมทุนเทียบเท่ากำไรเป็นสิบๆปี
เช่น สมมุติ ลงทุนตั้ง บ. 100 ล้าน ทำไป 2-3 ปี พอเป็นรูปเป็นร่าง
ขายหุ้น 10% มาขยายกิจการ พอทำไปซักพักก็ขายอีกๆ
ขาย ครั้งแรก อาจจะได้ตัง 100 ล้าน
ครั้งต่อมา 300 ล้าน ต่อมา 1000 ล้าน
คือเวลาเจ๊ง อีลอนจะเจ๊งแค่ 100 ล้าน แต่คนอื่นเจ๊งเป็นพันล้าน
พอ บ.ทำกำไร ก็ขายไปจนตอนนี้ถือแค่ 54%
ถ้าเป็นแบบคนไทยเก่าๆทำธุรกิจคือ ME้ๆ เวลาล้มๆคนเดียว เวลาได้ๆคนเดียว
แล้วโตโครตช้า ต่างกับแบบระดมทุน
สมมุติ ทุกทุน 10 บาท จะได้กำไร 1 บาทต่อปี
ตั้งต้นที่ทุน 1 ล้าน
สมมุติ ลงทุน 1 ล้าน ME้ 15 ปี คิดโดยใช้โปแกรมผ่อนบ้าน ดอก 6% ผ่อนเดือนละ 9000
รวม 1.6 ล้าน
กำไรจาก 1 ล้าน จะได้ 1 แสนต่อปี ผ่อน 1.08 แสน
ครบ 15 ปี มีทุน 2 ล้าน เงินสดจากกำไรราว 1.5 ล้าน
สมมุติผ่านไป 5 ปีME้เพิ่ม 5 แสน 10 ปีอีก 5 แสน
รวมทุน 3 ล้าน ตังอีกราว 1.5 ล้าน
แต่พอใช้วิธีขอตังนักลงทุนด้วยการขายหุ้น
ทำ 1 ปี กำไร 1 แสน ขายครั้งแรก 10% ที่ราคาล่วงหน้ากำไร 15 ปี ได้ตัง 1.5 แสน ถือหุ้นลดลงเหลือ 90%
ปี 2 ทุนเป็น 1.15 ล้าน กำไร 1.035 ขาย อีก 10% ได้ตัง 1.725 แสน หุ้น 81%
ปี 3 ทุนเป็น 1.3225 กำไร 1.071 วนอีก 0.1984 0.729%
ปี 4 ทุน 1.5209 กำไร 1.109 วนไป 0.2281 0.656%
ปี 5 1.7490 กำไร 1.147 วนอีก 0.2624 0.59%
ปี 6 2.0113 กำไร 1.187 แสน
ทุน 2.0113 หุ้นที่เหลือคือ 0.9^5= 59 %
ขายหุ้นไป 5 ครั้ง ครั้งละ 10% มีทรัพย์สินเหลือ 1.1877 ล้าน เงินสดอีก 6.549 แสน จาก 6 ปี
ขายหุ้นรัวๆ แต่กิจการโตขึ้นเรื่อยๆซะงั้น แถมมีกำไรอีก เพราะ ขายไปจนทุนโตเท่าตัว
แต่เหลือ หุ้น 59% จากที่ควรหายไป 50% แถมกำไรที่ได้แบ่งมา ได้ 6.5 แสน จากที่ควรเป็น 6 แสน
แล้วสูตรขายหุ้นนี่ ทำไปพร้อมๆกับกู้ได้อีก
แถมออกหุ้นกู้ เสียดอกลดลงไปอีก
เรียกว่าสูตรการหาตังของคนรวยมันไปไวกว่า พวกชาวบ้านเยอะ
นี่คิดกู้ที่ 6% นะ คนธรรมดากู้ดอกแพงกว่า 6% อีก
หุ้นกู้บาง บ. คิด 3% งี้ แถมอยากได้หุ้นคืนจากผู้ถือหุ้น ก็ออกหุ้นกู้เพิ่มทุนมั่ง
ออกข่าวปั่น ทุบ ซื้อขายแบบรู้ข่าววงในอีก
แม่ม ผู้บริหารหลายคนมันเลยรวยไวไง มีข้อได้เปรียบรายย่อย รึ sme เยอะมาก