[quote/]
อย่าลืมว่ามันฉีกสัณญาเพราะอะไรครับเยอรมันโดนกดชนิดมิดด้ามแบบประเทศตายแน่ๆครับ 1ต้องจ่ายเงินชดเชยสงครามจำนวนมาก 2ทองทังประเทศก็ต้องเอาออกมาไห้หมด 3ต้องปลดอาวุททังหมด 4ต้องยกดินแดนจำนวนมาก 5อังกริกและฟรังเศษไม่ยอมไห้เยอรมันฟื้นตัว จาก5เงื่อนไขนี้มันโหดกว่าณี่ปุ่นหลายเท่าที่มันกู้ได้เพราะสภาพในประเทศมันดีขึ้น(ชนะสงครามและปรับสภาพเศรษฐกิจแล้วที่มันกู้เพิ่มนี่เอามาทำสงครามครับ ในตอนที่โดนบีบไข่5ข้อที่ว่าไม่มีใครปล่อยกู้ครับ) จนคนปล่อยกู้เห็นว่าน่าจะคืนเงินได้เลยปล่อยกู้ต่างหากครับ อย่างที่บอกถ้าไม่มีนาซีไม่มีฮิตเลอร์ป่านนี้เยอร์มันก็โงหัวไม่ขึ้นครับผมว่าประเทศแม่งจะแตกด้วยซ้ำ
ฮิตเลอร์คือคนที่ซ้ำเติมให้คนเยอรมันแย่ลงกว่าเดิมครับ ไม่ใช่วีรบุรุษ ถ้าไม่เชื่อลองไปถามคนเยอรมันได้ครับ
ผมไม่เถียงว่าสนธิสัญญาแวร์ซายคือสนธิสัญญาที่เอาเปรียบและต้องการกดไม่ให้เยอรมันฟื้นคืน
สมัยก่อนเยอรมันสมัยก่อนเองก็เป็นจักรวรรดิไรน์ที่ขับเคี่ยวในช่วงสมัยล่าอาณานิคมเช่นเดียวกับอังกฤษและฝรั่งเศษ
ดังนั้นอังกฤษกับฝรั่งเศษที่เห็นโอกาสว่าตนชนะสงครามจึงต้องการกำจัดศัตรูทางการเมืองออกไปครับ และแบ่งประเทศออกเพื่อไม่ให้เยอรมันได้เป็นจักรวรรดิ์อีก
เยอรมันในอนาคตจะได้ไม่มีอำนาจต่อรองทางการเมืองเหมือนในอดีต
เอาจริงๆ ฮิตเลอร์ต้องการกู้เงินจากสวิตเซอร์แลนด์และก็ชักดาบด้วยการตีสวิตเซอร์แลนด์ในตอนท้ายที่สุดครับ พูดง่ายๆ คือ ฮิตเลอร์รู้ตั้งแต่แรกว่าไม่มีปัญญาใช้หนี้คืนจึงมีแผนตั้งใจจะบุกสวิตเซอร์แลนด์แต่ก็เก็บไว้ท้ายที่สุดครับ ผมกำลังจะบอกว่าถ้าปล่อยไว้เรื่อยๆ ในที่สุดเยอรมันจะฟื้นขึ้นมาได้เองอย่างช้าๆครับ แต่ฮิตเลอร์คือคนที่ซ้ำเติมให้เยอรมันมีหนี้สงครามเพิ่ม
คุณ
@Rumia ลองคิดง่ายๆนะครับ ในสมัยก่อนฮิตเลอร์ ประเทศเยอรมันมีหนี้อยู่ก้อนหนึ่งเท่ากับ X แต่หลังก่อสงครามจนแพ้มีหนี้สงครามเพิ่มขึ้นมาอีก 2X
ปัจจุบันประเทศเยอรมันยังฟื้นตัวมาได้ขนาดนี้และกลายเป็นผู้นำ EU ลองคิดสิว่าถ้าเยอรมันไม่ก่อสงครามโลกครั้ง 2 ขึ้นมา ก็จะมีหนี้แค่ X เดียว
ด้วยจำนวนหนี้ที่น้อยลงกว่า 2 ก้อนรวมกัน เยอรมันย่อมฟื้นฟูประเทศได้เร็วกว่าแน่นอนครับ เพราะใช้หนี้แค่ X เดียว ไม่ได้ใช้หนี้ 2X เหมือนปัจจุบัน
อ๋อ อีกอย่างหลังยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 คุณ
@Rumia อาจจะไม่ทราบ แม้ว่าในการเก็บค่าปฏิกรรมสงครามของสงครามโลกครั้งที่ 2 จะไม่เท่ากับสงครามโลกครั้งที่ 1
แต่สิ่งที่เยอรมันเสียให้แก่ประเทศสัมพันธมิตรนั้นเป็นสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้ โดยเฉพาะโรงงานในเยอรมันและลิขสิทธิ์สินค้าต่างๆของเยอรมันถูกตกเป็นของฝ่ายสัมพันธมิตร
ที่ชัดเจนก็คือ รถ Volkwagen ที่ถูกยึดกิจการไปเป็นของอังกฤษทั้งลิขสิทธิ์ แบบแปลนและโรงงาน และรวมไปถึงลิขสิทธิ์ของน้ำอัดลมแฟนต้าก็ถูกเมกาเอาไปทั้งโรงงานและลิขสิทธิ์
จริงๆยังมีอีกมากนะครับ เพียงแต่ผมยกตัวอย่าง 2 แบรนด์ที่เห็นชัดๆก่อน
ไม่ได้เป็นหนี้ แต่เสียสิ่งที่เป็น Asset ไป ทั้งทรัพย์สินมีตัวตนและแบบไม่มีตัวตน ซึ่งถ้าคิดเป็นมูลค่าผลประโยชน์ผมนับว่ามหาศาลกว่าเป็นหนี้สงครามโลกครั้งที่ 1 เสียอีก
คุณ
@Rumia ลองคิดนะครับว่าถ้าไม่เสียลิขสิทธิ์และทรัพย์สินเหล่านี้ไป เยอรมันจะทำรายได้ได้มากแค่ไหน และสามารถทำให้ประเทศฟื้นตัวเร็วกว่าเดิมมั้ย
อันนี้คือ แผน Operation Tannenbaum แผนโจมตีสวิตเซอร์แลนด์ของนาซีเยอรมัน เพื่อที่จะได้ชักดาบเงินกู้ในอนาคต