เรื่องราวของการบินไทยเป็นอย่างไร ปัญหาอยู่ตรงไหน และทำไมรัฐบาลถึงตัดสินใจให้ยืมเงิน 50,000 ล้านบาท ในขณะที่ประชาชนจำนวนมากเรียกร้องให้รัฐเลิกอุ้มการบินไทยได้แล้วเนื้อเรื่องโดยย่อรัฐวิสาหกิจ เป็นคำแปลมาจากภาษาอังกฤษ คือ State Enterprise แปลว่าเป็นองค์กรธุรกิจที่มีรัฐเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งการบินไทยเป็นรัฐวิสาหกิจที่มีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ องค์กรก่อตั้งในปี 2503 และในเวลาไม่ถึง 10 ปี ก็มีเส้นทางบินครอบคลุมเมืองสำคัญในเอเชียทั้งหมด ก่อนที่ในปี 2515 จะมีเที่ยวบินข้ามไปยุโรปเที่ยวแรก ในไฟลท์ กรุงเทพ-โคเปนเฮเกน
การบินไทยยกระดับคุณภาพของสายการบินมาอย่างต่อเนื่อง และเริ่มได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติ โดยในปี 2526 เริ่มมีการให้บริการบิสซิเนสคลาสเป็นครั้งแรก มีการเพิ่มเที่ยวบินเรื่อยๆ ข้ามไปอีกหลายประเทศ จุดแข็งของการบินไทย ที่เหนือกว่าสายการบินในภูมิภาคนี้อย่างชัดเจนคือ ในปี 2540 เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Star Alliance หรือกลุ่มพันธมิตรของสายการบิน ประกอบด้วย ยูไนเต็ด แอร์ไลน์, แอร์ แคนาดา, ลุฟท์ฮันซ่า,สแกนดิเนเวียน แอร์ไลน์ และการบินไทย จะเห็นได้ว่า ทั้ง 5 สายการบินที่ก่อตั้ง มีไทยแค่สายการบินเดียวเท่านั้น ที่มาจากเอเชีย
ด้วยผลประกอบการที่ดี ทำให้การบินไทย นับว่าเป็นองค์กรที่มีสวัสดิการให้กับพนักงานบริษัทในระดับที่ดีเยี่ยมในยุคนั้น มีสวัสดิการตัวอย่างเช่น
- ได้รับค่ารักษาพยาบาล ของตัวเอง คู่สมรส และบุตร โดยรพ.รัฐ จ่ายให้เต็มจำนวน รพ.เอกชน บริษัทจ่ายให้ครึ่งหนึ่ง
- ได้รับเงินค่าการศึกษาบุตร จำนวน 3 คน
- ได้รับตั๋วเครื่องบินฟรี ให้ตัวเอง คู่สมรส และบุตร (บุตรได้ถึงอายุ 24 ปี) ส่วนพ่อแม่ของพนักงานได้ส่วนลดค่าตั๋ว 75%
- ถ้าหากในไฟลท์ไม่เต็ม และมีที่นั่งว่าง พนักงานสามารถซื้อตั๋วได้ในราคา 10%
- ถ้าบริษัทมีกำไร ได้โบนัสสูงสุดไม่เกิน 3 เดือน
ทุกอย่างกำลังเดินไปได้ด้วยดี โดยจุดยืนของการบินไทยในขณะนั้นเป็นองค์กรที่ก้าวไปสู่ระดับโลก อย่างไรก็ตามปัญหาเริ่มเกิดขึ้นในปี 2543 เริ่มจากสิงคโปร์แอร์ไลน์ คู่แข่งสำคัญได้เข้ามาร่วมกับ Star Alliance นั่นทำให้ความได้เปรียบของไทยที่เคยเป็นฮับแห่งเดียวในอาเซียนก็เปลี่ยนไป จำเป็นต้องแข่งขันกับสิงคโปร์แอร์ไลน์อย่างดุเดือดขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นด้วยความเป็นรัฐวิสาหกิจ จึงมีความยุ่งยากมากในเรื่องของขั้นตอนที่กว่าจะออกนโยบายอะไรแต่ละอย่าง ต้องผ่านความเห็นชอบจากหลายคนมากจนเกินไปจนขยับตัวช้ากว่าโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง
ธรรมนูญ หวั่งหลี ให้สัมภาษณ์ในปี 2543 หรือเมื่อ 20 ปีก่อน ว่าปัญหาของการบินไทยที่เขาค้นพบมี 3 ข้อด้วยกัน
1.การบินไทยไม่เคยลดต้นทุน ไม่เคยปลดคนถ้าไม่กระทำผิดร้ายแรง มีค่าใช้จ่ายให้ทั้งพนักงาน และบอร์ดบริหารเป็นจำนวนที่สูงมาก
2.การบินไทยมีเส้นสายภายในเยอะเกินไป มีระบบราชการมาครอบงำ ส่งคนของฝ่ายการเมืองที่ไม่มีความรู้เรื่องการบินมานั่งเป็นบอร์ดบริหาร ไม่มีความสามารถพอ แต่ได้นั่งตำแหน่งที่สำคัญ เงินเดือนสูง โดยธรรมนูญเคยเสนอให้เอามืออาชีพด้านการบริหารเข้ามาบริหารการบินไทย แต่โดนบอร์ดบริหารปฏิเสธ
3.การบินไทยเคลื่อนตัวช้ามากในทุกๆการตัดสินใจ โดยในปี 2543 การบินไทยมียอดการซื้อตัวในชั้นอีโคโนมี่คลาส มากกว่าสิงคโปร์แอร์ไลน์ แต่การบินไทยมียอดขายในชั้นบิสซิเนสคลาสน้อยกว่า ดังนั้นธรรมนูญจึงเสนอแผนปรับปรุงที่นั่ง และสร้างสิ่งความอำนวยสะดวกในชั้นเฟิร์สคลาส และชั้นธุรกิจ เพื่อทำให้ฐานลูกค้าพรีเมียมกว้างขึ้น เรื่องดังกล่าวส่งเข้าที่ประชุมบอร์ด 8 เดือนแล้ว แต่ยังไม่ได้รับการอนุมัติ ใช้เวลานานเกินไปในการตัดสินใจ
พ.ศ.2545 ในรัฐบาลยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้มีการแต่งตั้ง DD คนแรกในประวัติศาสตร์ ที่เป็น "คนนอก" คือผู้บริหารมืออาชีพ ได้แก่กนก อภิรดี อดีตซีอีโอของโอสถสภา อย่างไรก็ตาม ยังมีข่าวเรื่องความขัดแย้งกับบอร์ดบริหารออกมาเป็นระยะ ทำให้การทำงานไม่คล่องตัวอย่างที่ควรจะเป็น ในกระบวนการทำงานของการบินไทยนั้น แผน และนโยบายต่างๆ จะถูกอนุมัติโดยบอร์ดบริหาร จำนวน 15 คน ซึ่งคนที่ถูกคัดเลือกมาเป็นบอร์ด ก็กระจัดกระจายกันไปในหลายอาชีพ เช่น ทหาร อัยการ ข้าราชการ ตำรวจ เป็นต้น โดยเมื่อบอร์ดกำหนดทิศทางขององค์กร ก็จะส่งนโยบายมาให้ DD ซึ่งเป็นซีอีโอคอยรับคำสั่ง และปฏิบัติตามแนวทางนั้น โดยบอร์ดบริหาร ได้รับเงินเดือน 5 หมื่นบาท ค่าเบี้ยประชุม 3 หมื่นบาท และได้ตั๋วเครื่องบินไปกลับ ชั้นบิสซิเนสคลาส ฟรีตลอดชีวิต แต่ถ้าหากมีชั้นเฟิร์สคลาสว่าง สามารถอัพเกรดไปนั่งเฟิร์สคลาสได้ (อย่างไรก็ตาม สิทธิบินฟรีของบอร์ดได้ถูกยกเลิกในปี 2557)
การบินไทยเริ่มตัดสินใจพลาดหลายอย่าง ในปี 2548 การบินไทยเปิดเส้นทางบินตรง กรุงเทพฯ - นิวยอร์ก สัปดาห์ละ 6 เที่ยวบิน และ เปิดเส้นทางกรุงเทพฯ - ลอสแองเจลิส 7 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ซึ่งปรากฏว่าทั้งสองเส้นทางมีผู้โดยสารเฉลี่ยต่อไฟลท์ไม่ถึง 100 คน ทำให้บริษัทขาดทุนถึง 4,000 ล้านบาท จนสุดท้ายต้องยกเลิกเส้นทางนิวยอร์ก และลดเส้นทางลอสแองเจลิสลงให้น้อยลงกว่าเดิม
การตัดสินใจพลาดหลายหน รวมกับวิกฤติเศรษฐกิจโลกถาโถมเข้ามา จึงต้องประสบปัญหาขาดทุนอย่างรุนแรง ในปี พศ.2550 เมื่อเงินบาทแข็งค่าขึ้น ทำให้รายได้จากลูกค้าต่างชาติลดลง ตัวอย่างเช่น ตั๋วเครื่องบินถ้ามีราคา 400 ปอนด์ ตอนที่ค่าเงินปกติ การบินไทยก็จะมีรายได้ 28,000 บาท แต่เมื่อค่าเงินบาทแข็งขึ้น ตั๋วยังราคา 400 ปอนด์เหมือนเดิม แต่รายได้ที่ผันแปรมาเป็นเงินบาทก็จะได้ลดลง ยิ่งรวมกับราคาน้ำมันโลกที่พุ่งสูงขึ้นในปีนั้น ทำให้การบินไทย ขาดทุนถึง 21,314 ล้านบาท ขาดทุนมากที่สุดในประวัติศาสตร์บริษัท หุ้นการบินไทย จากปีก่อนอยู่ที่ 45 บาทต่อหุ้น ก็ร่วงไปเหลือ 15 บาทต่อหุ้นเท่านั้น
อีกส่วนหนึ่งที่เป็นค่าใช้จ่ายของการบินไทย คือการมีตำแหน่งของพนักงานในองค์กรที่ทับซ้อนกันมากจนเกินไป ในขณะที่พนักงานระดับปฏิบัติการมีปริมาณไม่ได้เพิ่มขึ้นจากเดิม แต่พนักงานในระดับบริหารนั้นมีจำนวนมากขึ้น สายงานการบริหารของการบินไทย มีหัวหน้าเยอะไปหมด ไล่ตั้งแต่...
- Division (DIV)
- Department (DEP)
- Director (DIR)
- Vice President (VP)
- Senior Vice President (SVP)
- Executive Vice President (EVP)
- President (DD)
ตำแหน่งเหล่านี้ นอกจากจะมีฐานเงินเดือนที่สูงแล้ว ยังได้รับรายได้พิเศษ หรือ "ค่ารถ" โดยตำแหน่ง VP และ EVP ได้ค่ารถเพิ่มเดือนละมากกว่า 70,000 บาทต่อเดือน เมื่อรายได้ของกลุ่มผู้บริหารทั้งหมดรวมกัน ทำให้การบินไทย ใช้งบประมาณเป็นจำนวนมากในส่วนของกลุ่มผู้บริหาร
การต่อสู้ของการบินไทยนั้น หนักขึ้นเรื่อยๆ ความขัดแย้งภายในยังไม่จบ และ ยิ่งมีคู่แข่งเป็นสายการบินทั่วโลกแล้ว การปรับตัวตามสถานการณ์ต้องอัพเดทกันเดือน-เดือน แต่ด้วยความเคลื่อนที่ช้าขององค์กร ทำให้นโยบายต่างๆ เดินเกมช้าเกินไป และในที่สุดการบินไทยก็อยู่ในภาวะขาดทุนอย่างต่อเนื่อง
ปี 2556 ขาดทุน 12,047 ล้านบาท
ปี 2557 ขาดทุน 15,611 ล้านบาท
ปี 2558 ขาดทุน 13,067 ล้านบาท
ปี 2559 กำไร 15 ล้านบาท
ปี 2560 ขาดทุน 2,072 ล้านบาท
ปี 2561 ขาดทุน 11,605 ล้านบาท
ปี 2562 ขาดทุน 12,017 ล้านบาท
หากเป็นบริษัทอื่นๆ การขาดทุนหนักขนาดนี้อาจต้องปิดกิจการไปแล้ว แต่ด้วยความที่การบินไทยมีรัฐเป็นเจ้าของโดยกระทรวงการคลังคือผู้ถือหุ้นหลัก ดังนั้นแปลว่ารัฐจำเป็นต้องเข้ามา "อุ้ม" องค์กร เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ตัวอย่างเช่นในปี 2558 รัฐบาลต้องเอาเงินภาษีของประชาชนจำนวน 19,560 ล้านบาท เพื่อเอาไปให้การบินไทยได้ใช้หมุนเสริมสภาพคล่อง ซึ่งด้วยความเป็นองค์กรรัฐวิสาหกิจ รัฐเป็นเจ้าของถึง 51% นั่นทำให้ การขาดทุนของการบินไทย เป็นภาระความรับผิดชอบของรัฐไปโดยปริยาย การขาดทุนนั้นมีต่อเนื่องและไม่มีทีท่าว่าการบินไทยจะหยุดขาดทุนได้
โดยในปี2563 ด้วยสถานการณ์โควิด-19 คาดกันว่าการบินไทย มีโอกาสขาดทุนในระดับ 50,000 ล้านบาทสำหรับหนทางแก้ปัญหานั้น หนึ่งในข้อเสนอแนะจากธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่แสดงทรรศนะว่า "จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ไม่เห็นทิศทางที่การบินไทยจะปรับปรุงองค์กรให้กลับมามีกำไรที่ยั่งยืนได้ และถ้าจะพลิกจากขาดทุนมาเป็นกำไรได้ใน 2 ปี การบินไทยต้องลดต้นทุนมากถึง 40% ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมาก ดังนั้นตัวธนาธรจึงมองว่าแผนธุรกิจของการบินไทย ที่ยืมเงินรัฐ 50,000 ล้านบาท เป็นการใช้ภาษีของประชาชนอย่างสิ้นเปลือง และจำเป็นต้องปฏิรูปครั้งใหญ่ถ้าอยากจะอยู่รอดได้อย่างมั่นคง ธนาธรเสนอหลายทางเลือก โดยหนึ่งในนั้นคือ การปล่อยให้การบินไทยล้มละลาย เป็นไปตามกลไกของธุรกิจ องค์กรไหนขาดทุน ก็ต้องยอมรับและปิดกิจการไป และปล่อยให้เอกชนเข้ามาเทกโอเวอร์ และบริหารจัดการเอาเองโดยที่รัฐไม่ต้องแบกรับการขาดทุนอีกแล้ว
แนวทางการปล่อยให้การบินไทยออกจากรัฐวิสาหกิจ มีหลายฝ่ายที่เห็นด้วย แต่ในมุมของบุคลากรภายในนั้นออกมาต่อต้านโดยนายนเรศ ผึ้งแย้ม ประธานสหภาพแรงงานฯ ได้ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีโดยมีเนื้อความว่า "สหภาพยินดีให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในการฟื้นฟูบริษัท แต่ขอแสดงเจตนารมณ์ในการคัดค้านการแปรรูปบริษัทฯ จนส่งผลให้การบินไทยพ้นสภาพจากความเป็นรัฐวิสาหกิจ เนื่องจากการบินไทย เป็นสายการบินแห่งชาติ และต้องเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น"
- ฝั่งที่เห็นว่า "รัฐควรอุ้มต่อ" เพราะมองว่าถ้าอนาคตการบินไทย สามารถพลิกกลับมาเป็นองค์กรที่ทำกำไร รัฐเองก็จะได้ประโยชน์ มีเงินเข้าคลังเรื่อยๆทุกปี อย่างในปัจจุบันก็มีรัฐวิสาหกิจหลายแห่งที่ทำเงินให้รัฐได้อย่างสม่ำเสมอ ตัวอย่างเช่น ปตท. เป็นต้น นอกจากนั้นถ้าปล่อยให้การบินไทยเป็นของเอกชน แล้วอนาคตธุรกิจการบินกลับมาบูมอีกครั้งแทนที่เงินจะเข้ารัฐก็จะตกเป็นของกลุ่มธุรกิจเอกชนไปเลย
- แต่ฝั่งที่มองว่า "รัฐบาลไม่ควรอุ้ม" เพราะมองว่าไม่เห็นหนทางที่การบินไทยจะพลิกสถานการณ์จากขาดทุนระดับหมื่นล้านกลายมาเป็นกำไรได้ สาเหตุคือในองค์กรมีปัญหาสั่งสมเยอะจนเกินไป และไม่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริงในการสร้างกำไร ดังนั้นการยื้อเอาไว้โดยรัฐบาลถือหุ้นใหญ่ก็มีแต่จะขาดทุนอย่างเดียว รัฐก็ต้องอุ้มตลอดไป เอาภาษีประชาชนจ่ายให้การบินไทยต่อไป เพราะด้วยสภาวะแบบนี้ ยากมากที่การบินไทยจะพลิกมาเป็นกำไรได้
บทความฉบับเต็ม https://web.facebook.com/photo/?fbid=3699013420169489&set=a.205668526170680