สิ่งที่่จีนเป็นมาตลอด คือ ฟาสซิสต์(Fascism) หรือ ลัทธิบูชาตัวบุคคล ไม่ใช่คอมมิวนิสต์เหมือนที่กล่าวอ้าง
สำคัญมากที่เราจะต้องแยกแยะพฤติกรรมของรัฐออกเป็นระบอบต่างๆ ไม่ใช่รัฐบอกว่าเป็นระบอบไหนแล้วจะเชื่อว่ารัฐนั้นเป็นระบอบอย่างที่กล่าวอ้าง
ประเทศบนโลกนี้กว่า 98% อ้างตัวเองเป็นประชาธิปไตย แต่ในความจริงตามสถิติแล้ว ประเทศที่มีประชาธิปไตยเต็มใบ(Full Democracy) แค่ 22 ประเทศ คิดเป็น 13% เท่านั้น ตามดัชนี
พูดถึงเรื่องคอมมิวนิสต์ เราสามารถแยกแยะประเทศไหนเป็นคอมมิวนิสต์ได้จากนโยบายของคาร์ล มาร์ก(ไม่เคยมีประเทศไหนทำได้ 100% และหลายประเทศก็ตีความผิดก็มี)
ประกาศคอมมิวนิสต์ 10 ประการ ของคาร์ล มาร์ก มีดังนี้ (วงเล็บคือการตีความตามความเห็นของผมนะ)
1.ขจัดความเป็นเจ้าของที่ดิน ให้ที่ดินตกเป็นของรัฐ บริหารโดยรัฐ (ไม่มีใครมีความเป็นเจ้าของที่ดินอย่างสมบูรณ์ เจ้าของที่ดินที่แท้จริงคือรัฐ รัฐจะเป็นคนปล่อยเช่าที่ดินแก่ประชาชน)
2.จัดเก็บภาษีแบบอัตราก้าวหน้าหรือขั้นบันได (ภาษีขั้นบันไดแบบที่บ้านเราเก็บอยู่ คนรวยจะเสียภาษีอัตราที่เยอะเพราะใช้ทรัพยากรเยอะ คนจนจะเสียภาษีน้อยเพราะใช้ทรัพยากรน้อย)
3.ขจัดสิทธิในการได้รับมรดก (ไม่ต้องการให้ชนชั้นอภิสิทธิชน ทำนาบนหลังคน ทุกคนต้อง Set Zero ใหม่เริ่มจากศูนย์)
4.ยึดทรัพย์สินของกบฏและผู้อพยพให้ตกเป็นของรัฐ บริหารโดยรัฐ (อันนี้ทุกประเทศไม่ว่าระบอบไหนก็ทำกันอยู่แล้ว)
5.รวมอำนาจทางการเงินเข้าสู่ศูนย์กลาง ให้ทุกสถาบันการเงินจะต้องถูกดูแลโดยรัฐ ขจัดนายทุนนายธนาคารจากการผูกขาดด้านทุนทรัพย์ (ศัตรูของคอมมิวนิสต์ คือ ชนชั้นพ่อค้านายทุนที่ทำธุรกิจผูกขาด)
6.รัฐบาลกลางมีหน้าที่จัดหาการสื่อสารและการขนส่งเดินทาง (อันนี้เหมือนทุกระบอบในโลก ยกเว้น ระบอบศักดินาแบบกระจายอำนาจ)
7.การขยายกิจการอุตสาหกรรมและเครื่องมืออันเป็นปัจจัยการผลิตจะต้องถูกดูแลโดยรัฐ(รัฐมีส่วนเป็นเจ้าของ) เปลี่ยนพื้นที่รกร้างให้เกิดประโยชน์เป็นพื้นที่การเกษตร และปรับปรุงคุณภาพของที่ดินทำกิน
8.ทุกคนจะต้องมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการทำงานทุกคนอย่างเสมอภาค จัดตั้งอุตสาหกรรมกองทัพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเกษตร
9.ผสมผสานการเกษตรด้วยอุตสาหกรรมการผลิต ขจัดความแตกต่างระหว่างเมืองใหญ่กับเมืองเล็กด้วยการกระจายประชากรในแต่ละพื้นที่อย่างเท่าๆกัน (เคลื่อนย้ายประชากรให้เฉลี่ยแต่ละพื้นที่เท่ากัน)
10.ให้เสรีการศึกษาสำหรับเด็กในโรงเรียนรัฐ ยกเลิกการใช้แรงงานเด็กแบบในอดีต และผสมผสานการศึกษาด้วยความรู้ด้านอุตสาหกรรมการผลิต(นักเรียนอาชีวะ ระดับ ปวช.และปวส.)
ฟาสซิสต์
คำจำกัดความของฟาสซิสต์ โดย Stanley G Payne
1.แนวคิดฟาสซิสต์ คือ Anti-Liberalism(ต่อต้านเสรีนิยม), Anti-Communism(ต่อต้านแนวคิดคอมมิวนิสต์) และ Anti-Conservatism(ต่อต้านอนุรักษ์นิยม) ฟาสซิสต์คือศัตรูของทุกระบอบบนโลก
2.จุดมุ่งหมายของฟาสซิสต์ คือ การก่อร่างสร้างระบอบเผด็จการแบบชาตินิยมต่อระบบเศรษฐกิจและสังคม และแปรเปลี่ยนสู่จักรวรรดิ
3.แนวทางดำเนินการของฟาสซิสต์ คือ การใช้ลัทธิสัญลักษณ์นิยม หรือ ลัทธิบูชาตัวบุคคลเป็นดั่งสัญลักษณ์ของประเทศ มีมุมมองที่เป็นบวกต่อความรุนแรงและสนับสนุนการใช้กำลังต่อประชาชนเพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำของผู้ใช้อำนาจ
คำจำกัดความฟาสซิสต์ โดย Roger Griffin กล่าวว่า มันคือ Populist Ultranationalism หรือ เกินกว่าชาตินิยมประชานิยม ส่วนในยุคสงครามเย็น Roger Griffin ได้ปรับปรุงแนวคิดว่ามันคือ "A Populist Form of Palingentic Ultranationalism" ซึ่งหมายถึง แนวคิดในการสร้างภาพอดีต โบราณกาล และพงศาวดารเรื่องเล่าต่างๆ เกี่ยวกับชาติพันธุ์ เผ่าพันธุ์ และจุดต้นกำเนิดชนชาติ พัฒนาเป็นแผนสร้างชาติ
(ผมแนะนำให้ทุกท่านลองอ่านหนังสือ Siam Mapped กำเนิดสยามจากแผนที่ของ อ.ธงชัย แล้วท่านจะทราบถึงแนวคิดคิดประชาชาติพันธุ์ชาตินิยมมันเป็นอย่างไรในสมัย ร.5)
เข้าเรื่องกันต่อ สรุปง่ายๆ ฟาสซิสต์ คือ แนวคิดยกย่องบูชาตัวบุคคลให้สูงส่งเป็นดั่งสัญลักษณ์ของแนวคิดประชาชาติพันธุ์ชาตินิยม โดยผลักดันด้วยนโยบายความรุนแรงและสนับสนุุนการใช้กำลังต่อมนุษย์ด้วยกัน
ตัวอย่างฟาสซิสต์ที่ปรากฎ เช่น ฟาสซิสต์อิตาลี นาซีเยอรมัน เหมาอิสต์(ลัทธิเหมา) สตาลินนิสซึ่ม เขมรแดง เป็นต้น แนวคิดฟาสซิสต์ก่อให้เกิดความรุนแรงมาตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน และหลายคนชอบสับสนระหว่างฟาสซิสต์กับคอมมิวนิสต์ ซึ่งอันที่จริงแล้วมันคนละแนวคิดคนละระบอบอย่างสิ้นเชิง แต่หลายครั้งผู้มีอำนาจชอบอ้างคอมมิวนิสต์(บางประเทศอ้างประชาธิปไตย)บังหน้า แต่ดำเนินการแบบฟาสซิสต์ก็มีมาก โดยเฉพาะประเทศไทยของเราที่กล่าวว่าตนเองเป็นประชาธิปไตยแต่แท้จริงแล้วดำเนินการแบบฟาสซิสต์
ความเหมือนระหว่างนาซีเยอรมันกับรัฐไทยตั้งแต่(2500 - ปัจจุบัน)
1.มีการใช้ Propaganda สมัยยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 นาซีเยอรมันถึงกับตั้งกระทรวง Propaganda ขึ้นมาโฆษณาชวนเชื่อคนในชาติให้ก่อเกิดแนวคิดชาติพันธุ์ชาตินิยม และเหยียดชาติพันธุ์อื่น ไทยเองก็เช่นเดียวกันแต่ต่างกันเล็กน้อยตรงที่ไม่ได้มีหน่วยงานใดทำหน้าที่ Propaganda โดยเฉพาะ แต่ทุกหน่วยงานรัฐกลับพร้อมใจกันทำ Propaganda ด้วยกันหมด
2.มีการออกกฎหมายและบังคับใช้กฎหมายกำจัดคนเห็นต่าง (อันนี้คงไม่ต้องบอกก็คงรู้)
3.มีการผูกตัวบุคคลผู้นำที่ต้องการให้เป็นสัญลักษณ์ของประเทศกับวัฒนธรรมแนวคิดค่านิยมที่ชนชาตินั้นคุ้นเคย เช่น สถาบันครอบครัว สถาบันศาสนา เป็นต้น