10ข้อนี้ดูแล้วเป็นนามธรรม จับใจความยาก เอาง่ายๆขอแค่คนทำงานยุคใหม่ขอพื้นๆคือ
ได้ภาษาอย่างน้อยอังกฤษ มีEQความฉลาดทางอารมณ์ มีAQความฉลาดทางแก้ปัญหา
มีบุคลิกมนุษย์สัมพันธ์ดี
เอาเป็นสี่ข้อนี้ดีกว่า มันเห็นภาพง่ายกว่า จับต้องง่ายกว่า อธิบายง่ายกว่า
จริงๆ หลายวิธีเป็นรูปธรรม แต่คนเข้าใจผิดเป็นนามธรรม มันคำนวนเป็นตัวเลขได้นะ ผมเองก็ใช้ตลอด โดยเฉพาะ 1 กับ 2
แต่อาจจะใช้ 2 บ่อยหน่อย เพราะเนื้องานสาย Engineer มันมีเรื่องต้องถกเถียงประจำ ทั้งด้านเทคนิคแผนก Production ด้านความปลอดภัย ด้านการบริหารต้นทุน ยันประมูลงาน
ส่วนข้อ 1 อันนี้คือผู้บริหารและ Contract Engineer ครับ การแก้ไขปัญหาแบบซับซ้อน คือ การวิเคราะห์ สร้างตัวเลือก ประเมินตัวเลือก ดำเนินตามและติดตามผลหลังจากเลือก
อันที่จริงทุกงาน และเผลอๆ จะทุกคนด้วยได้ใช้ทักษะเหล่านี้ทั้งหมดครับโดยไม่รู้ตัว เพียงแต่จะมากจะน้อยก็แล้วแต่ลักษณะเนื้องานและองค์กรครับ
อย่างยกตัวอย่างของจริงของผมกับ ข้อ 1 เลย นั่นคือวิธีการเสียภาษีให้น้อยที่สุด (ไม่ได้หลบเลี่ยงภาษีนะ) เพียงแต่กฎหมายจะให้ตัวเลือกทางด้านภาษีที่แตกต่างกันแต่ละทางที่เราเลือก
เคสการซื้อหินก่อสร้างจากต่างประเทศเข้าประเทศบังคลาเทศ ปกติมันจะโดนภาษีนำเข้าแพงมาก+Inland+Transport แพงมาก
Case 1 บริษัทผมซื้อ,ขนส่งทางเรือ และขนส่งทางบกด้วยตัวเอง
Case 2 บริษัทผมจ้างให้บริษัทไทยอื่นซื้อ,ขนส่งทางเรือ และขนส่งทางบกแทน 100%
Case 3 บริษัทผมแบ่งเป็นซื้อเอง แต่ให้บริษัทไทยอื่นขนส่งทางเรือและทางบกให้
Case 4 บริษัทผมแบ่งเป็นซื้อเอง แต่ให้บริษัทไทยขนส่งทางเรือให้ และให้บริษัทบังคลาเทศขนส่งทางบกให้
จะเห็นได้ว่ามันมี 4 Solution ที่มีต้นทุนความเสี่ยงที่แตกต่างกัน
มาดูเคส 1 ครับ การที่ผมซื้อเอง ขนส่งทางเรือเอง และขนส่งทางบกเอง มีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง
1.สามารถควบคุมคุณภาพหินได้ เนื่องจากบริษัทผมเป็นคนซื้อเอง
2.สามารถซื้อหินในไทยได้ถูกเพราะผมมี Credit มากกว่าให้บริษัทเล็กเป็นตัวแทนซื้อแทน
3.ต้องเสียค่าแรงงานสำหรับงานทำเอกสาร เดินเอกสารเอง
4.ต้องเสียเวลาวุ่นวายกับงานเอกสารมากขึ้น
5.อาจมีปัญหาในการเจรจากับเจ้าหน้าที่การท่าของท่าเรือจิดากอง(บังคลาเทศ)
6.ผมเสียสิทธิทางภาษีจากการไม่ใช้ Local Subcontractor(บังคลาเทศ)
เคส 2 ให้บริษัท Suppliers ซื้อให้ ขนทางเรือ และขนทางบกให้
1.ผมไม่ต้องเสียค่าแรงงานในการทำเอกสาร เดินเอกสาร (หน้าที่ Supplier)
2.ผมไม่ต้องเสียเวลาวุ่นวายกับเอกสาร (หน้าที่ Supplier)
3.ผมไม่ต้องสนใจที่จะต้องเจรจา (หน้าที่ Supplier)
4.บริษัท supplier ขนส่งหินเขาจะคิดค่าดำเนินการทั้งค่าดำเนินการ + กำไร มาชาร์จเรา ทำให้ต้นทุนหินต่อหน่วยแพงขึ้น
5.มีสิทธิบริษัท Supplier จะยกเลิกสัญญากลางคัน
6.ผมควบคุมคุณภาพหินไม่ได้
7.บริษัท Supplier ไม่มีเครดิตเท่าบริษัทผม ดังนั้นเขาจะซื้อหินแพงกว่า
8.บริษัท Supplier ไม่มีสิทธิทางภาษีเพราะไม่ใช้ Subcontractor บังคลาเทศ
เคส 3 บริษัทผมซื้อเอง แต่ให้บริษัทอื่นรับงานขนส่งทางเรือและบกให้
1.ผมควบคุมคุณภาพหินเองได้ เพราะบริษัทผมซื้อเอง
2.บริษัทผมซื้อเองมีเครดิตที่ดี ทำให้ซื้อได้ในราคาถูกกว่า
3.ผมไม่ต้องเสียแรงงานคนทำเอกสาร เดินเอกสาร เพราะให้บริษัทขนส่งจัดการให้
4.ผมไม่ต้องสนใจเสียเวลาเจรจากับเจ้าหน้าที่การท่าเรือ (ให้บริษัทขนส่งจัดการให้)
5.ผมต้องเสียค่าดำเนินการที่เขารับจ้างขนส่งแทนบริษัทผม
6.บริษัทไม่ได้สิทธิทางภาษีเพราะไม่ใช่ Subcontractor บังคลาเทศ
เคส 4 บริษัทผมซื้อเอง แต่ให้บริษัทไทยอื่นขนส่งทางเรือ และให้บริษัทบังคลาเทศขนส่งทางบก
1.ผมควบคุมคุณภาพหินเองได้ เพราะบริษัทผมซื้อ
2.บริษัทผมมีเครดิตที่ดี ทำให้ซื้อได้ในราคาถูก
3.ผมไม่ต้องเสียค่าแรงคนสำหรับทำงานเอกสาร และเดินเอกสาร (ให้บริษัทไทยขนส่งทางเรือทำให้)
4.ผมไม่ต้องเสียเวลาเจรจากับเจ้าหน้าที่การท่าเรือ (ให้บริษัทขนส่งไทยทำให้)
5.ผมถูกชาร์จค่าดำเนินการจากบริษัทไทยขนส่งทางเรือ
6.ผมได้สิทธิทางภาษี เพราะผมใช้บริษัทบังคลาเทศขนส่งหินทางบก
7.ผมถูกชาร์จค่าดำเนินการจากบริษัทบังคลาเทศที่ขนส่งทางบก
จะเห็นได้ว่าแต่ละเคสจะมี ผลได้ผลเสียที่แตกต่างกันไป ซึ่งผมต้องเอาแต่ละเคสมาพิจารณาว่าตอบโจทย์ คุณภาพ เวลา และราคา ในแบบที่บริษัทผมต้องการหรือเปล่า
ซึ่งตอนผมทำ จะต้องมีวิเคราะห์ ประเมินการลงรายละเอียดตัวเลขต้นทุนของแต่ละอย่าง เอามาบวก ต้องมีการดูว่าแต่ละเคสใช้เวลาเท่าไหร่ และมีความเสี่ยงที่ควบคุมได้อะไรบ้าง อะไรควบคุมไม่ได้บ้าง
เรียกว่าช่วงนั้นต้องนั่งจับเข่าคุยกับนักกฎหมาย นักบัญชี บริษัทคู่ค้าทั้งไทยและบังคลาเทศรายวันเลย เพื่อหา Solution ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของบริษัทที่เป็นอยู่มากที่สุด
อันนี้คือยกตัวอย่างข้อ 1 Complex Solving Problem ให้เพื่อนได้ดู ว่าในความเป็นจริงมันจะออกมารูปแบบไหน
อันที่จริง ผมเคยพูดเรื่อง SWOT ไปครั้งหนึ่งแล้ว ซึ่งมันก็เป็นอะไรที่คล้ายๆกันนี่แหละครับ จริงๆ มันมีลึกลงไปกว่านั้น มีการใช้การคำนวนตามทฤษฎี Utility Theorem อีก(ไว้วันหลังค่อยอธิบายให้ฟัง)
ส่วนกรณีข้อ 2 Critical Thinking ผมทำงานกับคนต่างชาติหลายครั้ง ถ้าการมาประชุมและมานั่งฟังเฉยๆ ไม่หือไม่อือ ไม่มีการตั้งคำถามโต้แย้ง ผมบอกเลยว่าจะโดนเพ่งเล็งเตรียมได้รับซองขาวได้เลยครับ
ผมถามหน่อยว่าถ้าเกิดทุกคนเห็นตรงกัน มันจะจัดประชุมกันทำไม ทำจดหมายแจ้งไม่ดีกว่าเหรอ การประชุมคือการโต้แย้งถกเถียงเพื่อหาข้อเท็จจริงและหาทางออกที่ดีที่สุด ณ เวลานั้น
เขาจ้างคนทำงานมาก็เพื่อแก้ปัญหางาน ไม่ใช่ให้มาทำงานตามใบสั่ง ถ้าทำตามใบสั่ง ผมซื้อเครื่องจักรหรือคอมพิวเตอร์ทำแทนคนนั้นไม่ดีกว่าเหรอ ผมจะจ้างคนที่ทำได้แค่ทำตามใบสั่งไปทำไมจริงมั้ย?
ถ้าคุณมีหลักการและมีหลักฐานเอกสารยืนยันข้อเท็จจริงของคุณ คุณต้องลุกขึ้นมาถกเถียง ไม่ใช่เงียบอมพะงำ เวลาผมพิจารณาจ้างคน ผมจ้างให้คุณมาเสนอไอเดียโต้เถียงผมนะ
ไม่ใช่เออออห่อหมกเห็นด้วยกับผมไปทุกอย่าง เวลาผมพิจารณาเงินเดือน ผมพิจารณาเพิ่มเงินเดือนคนที่กล้าเถียงคนอื่นรวมทั้งผมนะ เพราะมันจะได้ตรวจสอบความคิดผมด้วยว่าคิดผิดหรือคิดถูก
มันมีโมเดลความคิดหนึ่งที่เรียกว่า โมเดลเนยแข็งสวิสต์
โดยเขามองว่ามาตรการ หรือ แผนการ หรือ ขั้นตอนใดๆ ไม่มีคำว่า Perfect 100% ถ้าเกิดใช้วิธีแบบเดียวมันจะเกิดช่องโหว่ และอาจจะหายนะต่อกิจการหรือองค์กรได้
ดังนั้นเพื่อกระจายความเสี่ยง จึงจำเป็นต้องผ่านการคัดกรอง ผ่านขั้นตอนหลายอย่างๆ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ลดช่องโหว่ลงเรื่อยๆ โดยไม่ทำให้รูโหว่เป็นรูเดียวกัน
และ Critical Thinking คือวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้เกิดการป้องกันรูโหว่ที่ผ่านตลอด นั่นก็เพราะการถกเถียงมันจะช่วยปิดรูโหว่ของแผนนั้นๆให้น้อยลงจนสมบูรณ์ผ่านการขัดเกลาข้อเท็จจริง
https://thaipublica.org/2020/12/pridi218/