จริงๆแล้วผมก็สนการเมืองนะ แต่ประเด็นคือในหัวข้อที่ตั้งๆกันในไม่ค่อยจะเห็นแนวทางการแก้ปัญหา มีแต่ออกมาด่าๆฝั่งนู้นทีฝั่งนี้ทีแล้วก็จบซึ่งอันนี้แหละที่มันน่ารำคาญ
บรรยากาศมันเลยค่อนข้างน่าอึดอัด ที่จะลงไปเสวนาด้วยเพราะแต่ล่ะฝั่งก็ตั้งธงเข้าหากันไม่ได้มาหาทางแก้ปัญหาเลย
ปล.กระแสคริปโตนี่ผมคิดว่ามันควรจะดีกว่านี้ไม่ใช่ดิ่งหรือขึ้นได้ด้วยคำพูดคนแค่คนเดียว มันรู้สึกไม่ค่อยน่าลงทุนเท่าไหร่ แต่ถ้าขุดเองนี่อีกเรื่อง 555
@eureka7เรื่องนี้อาจจะต้องอธิบาย Concept คำว่า "รัฐ" ให้เข้าใจก่อนนะครับ เพราะ คุณอาจจะคิดว่า เฮ้ย ทำไมพวกเรามัวแต่ด่า ทำไมพวกเราไม่ออกมาช่วยกันในทางปฏิบัติ
คำว่า "รัฐ" ประกอบด้วย 4 อย่าง 1.ประชากร(Population) 2.ดินแดน(Territory) 3.รัฐบาลหรือผู้ใช้อำนาจบริหาร(Government) 4.อำนาจอธิปไตย(Sovereignty)
ดังนั้นจะเห็นว่าความหมายของรัฐคือสิ่งที่เป็นรูปธรรมคือ ประชากร กับ ดินแดน และสิ่งที่เป็นนามธรรม คือ รัฐบาล กับ อำนาจอธิปไตย ซึ่งอย่างหลังเราสามารถมองรวมกันว่าเป็น "ระบบ"
และอย่าสับสนกับคำว่า "ชาติ" จริงๆแล้วมาจากคำว่า "ชาติพันธุ์" คือ การรวมกลุ่มของคนที่มีภาษา ศาสนา วัฒนธรรม และความเชื่อคล้ายๆกันอยู่ร่วมกันเป็นก้อน
ทีนี้ผมอยากให้คุณมองลึกเข้าไปในระบอบต่างๆ
ปกติคนมักจะมองฝ่ายซ้ายกับฝ่ายขวา(คนเท่าเทียมหรือต้องมีชนชั้น) แต่คราวนี้ผมอยากให้มองฝ่ายบนกับฝ่ายล่างบ้าง(อำนาจรวมศูนย์กับกระจายอำนาจ)
ยิ่งระบอบไหนขึ้นบนมากๆ ระบอบนั้นจะยิ่งให้ความสำคัญกับ Concept ของคำว่า "รัฐ" มากขึ้นตาม
ในทางกลับกันยิ่งระบอบไหนอยู่ด้านล่างของกราฟมากเท่าใด เช่น ประชาธิปไตยทางตรง(Direct Democracy) และ อนาธิปไตย(Anarchy)
ทั้งสองระบอบที่กล่าวมาอย่างหลัง พวกเขาไม่เชื่อใน Concept ของคำว่า "รัฐ" เช่นเดียวกับ เรื่องโรจาว่า ที่ผมเคยลงไปเมื่อสักพักแล้วว่าคนโรจาว่า เขาไม่เชื่อ Concept ของ "รัฐ"
คุณอาจจะมองการกระทำช่วยเหลือของพิมรี่พายว่ามันช่วยเหลือคนได้จริงๆ ทำจริงในทางปฏิบัติได้ แต่คุณทราบมั้ยว่าการกระทำของพิมรี่พาย คือ การปฏิเสธ Concept ของ "รัฐ" โดยสิ้นเชิง
สิ่งที่พิมรี่พายทำมันจะทำให้ก้าวเข้าไปสู่สิ่งที่เรียกว่า อนาธิปไตย(Anarchy) หรือ ระบบชนเผ่า
ทีนี้คุณอาจจะสงสัยว่ามันจะเข้าหาอนาธิปไตย ได้อย่างไร ผมจะขออธิบายเกี่ยวกับระบบภาษี ถามว่าทำไม "รัฐบาล" ถึงมีความชอบธรรมในการเก็บภาษีและบริหารจัดการภาษี
เพราะระบบได้มอบอำนาจ(Authority)และความชอบธรรมหรือสิทธิ(Right) ให้กลุ่มคนที่เรียกว่ารัฐบาลมีอำนาจในการเก็บภาษีและนำภาษีที่เก็บได้มาบริหารจัดการเพื่อใช้ประโยชน์
แล้วระบบที่ว่านั่นมันเกิดจากใครครับ ใครครับคือผู้สร้างระบบ ก็คือ ประชากรของประเทศ ผมพูดถูกมั้ยครับ ประชากรของประเทศไม่ว่าจะกลุ่มใหญ่หรือกลุ่มเล็กก็คือผู้ที่เขียนระบบมันขึ้นมา
เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นผมขอสมมุติตัวอย่างที่เห็นภาพมากที่สุด
สมมุติว่าผมเสียภาษีไป 10,000 บาทต่อปี ผมย่อมคาดหวังให้ผู้แทนที่ผมได้ให้เขาหยิบยืมใช้อำนาจจากผมไปบริหารเงิน 10,000 บาทนี้ ไปบริหารให้ได้ผลตอบแทนกลับมา
และผลตอบแทนต้องมากกว่า 10,000 บาทเป็นต้นไป คุณอาจจะเอาไปซื้ออะไรหรือจัดจ้างทำอะไรก็แล้วแต่ แต่ผลลัพธ์ที่ได้ออกมาจะต้องมากกว่า 10,000 บาท หรือ มากกว่า 100%
เพราะถ้าน้อยกว่า 10,000 บาท หรือ น้อยกว่า 100% แทนที่ผมจะให้คนอื่นไปบริหารจัดการ ผมบริหารจัดการ 10,000 บาทเองเสียไม่ดีกว่าเหรอครับ
ถ้าใครนึกภาพไม่ออก ให้นึกภาพเหมือนเราไปลงทุนฝากธนาคารก็ได้ครับ การที่เราฝากเงินกับธนาคารไม่ว่าจะกี่บาทก็ตาม มันคือ "ธนาคารยืมเงินคุณไปบริหารจัดการ" นะครับ
เวลาเขาลงบัญชี สังเกตมั้ยครับในงบดุล(ถ้าใครเปิดเว็บ Settrade) จะเห็นได้ว่ากิจการธนาคารมีหนี้สินมาก (หนี้สินเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากเงินกู้แต่เกิดจากเงินยืมที่เราฝากกับธนาคาร)
ผมถามหน่อยครับ ถ้าสมมุติธนาคาร A ที่คุณจะฝากนั้นให้ดอกเบี้ยติดลบ คุณจะฝากเงินกับธนาคาร A มั้ยครับ
คุณย่อมไม่เลือกธนาคาร A แต่ไปเลือกธนาคารอื่นที่ดอกเบี้ยเป็นบวกและให้ผลตอบแทน% ที่สูงที่สุดถูกต้องมั้ยครับ
นั่นแหละครับ Concept ของการที่เราเสียภาษีให้ "รัฐ" เอาเงินส่วนนั้นมารวมเป็นกองเงินส่วนกลางและไปบริหาร มันก็ Concept เดียวกับที่เราฝากธนาคารนั่นแหละครับ เพียงแต่มันคล้ายๆช่วยกันลงขัน
ดังนั้นมันจึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องบริหารภาษีให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ต้องสร้างผลตอบแทนให้มากกว่าประชาชน 100% ของที่พวกเขาจ่ายไปเสมอ
เพราะเมื่อใดที่ประชากรของประเทศรู้สึกว่าพวกเขาได้รับผลตอบแทนน้อยกว่า 100% มันก็จะมีคนอย่างพิมรี่พายลุกขึ้นมาอาสาทำเอง
และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ประเทศจะก้าวถอยหลังเข้าหาอนาธิปไตยหรือระบบชนเผ่า(Anarchy) คุณลองจินตนาการสิว่าถ้าสมมุติว่ามีพิมรีพายคนแรกแล้ว มันย่อมมีคนที่สอง คนที่สามไปจนถึงคนที่ร้อย
ที่คิดว่ารัฐทำไม่ได้ ฉันก็ทำเอง นี่เป็นจุดเริ่มต้นของ Failed State(รัฐล้มเหลว) เพราะ ผู้คนไม่เชื่อในระบบรัฐแล้ว ทุกคนเชื่อว่าทุกคนดูแลตนเองได้ดีกว่าที่รัฐดูแลพวกเขา
ระบอบที่ผู้คนไม่เชื่อในระบอบ ระบอบมันพังทลาย เพราะระบอบหรือระบบ มันย่อมเกิดจากความเชื่อของประชากรที่เป็นชาติพันธุ์เดียวกัน
ซึ่งมันคล้ายเหตุการณ์ช่วงก่อนจะกลายมาเป็นสามก๊ก เรียกว่ายุคขุนศึกเรืองอำนาจ ค.ศ.190-220 ยุคนั้นที่มีขุนศึกมากมาย เช่น เล่าปี่ ซุนเซ็ก อ้วนเสี้ยว อ้วนสุด เตียวเมา เล่าเปียว ม้าเท้ง เตียวฬ่อ
พวกเขาต่างตั้งตนขึ้นเป็นใหญ่ ทุกคนต่างก็อ้างทำเพื่อประชาชนแน่นอนว่ามันก็มีคนมีเจตนาทำเพื่อประชาชนจริงๆนั่นแหละ แต่ทราบมั้ยว่าการที่เหล่าขุนศึก(Warlord)
ต่างปกครองตนเองไม่สนใจรัฐบาลจากราชสำนักฮั่น นั่นเท่ากับระบบมันได้ถูกทำลายด้วยตัวมันเอง เพราะทั้งขุนศึกและประชากรชาวฮั่นไม่เชื่อมั่นในระบอบเดิมแล้ว
คืออย่างผมน่ะไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เพราะผมโปรไปทาง Direct Democracy แบบโรจาว่า ผมเชื่อเรื่องการกระจายอำนาจสุดทาง อำนาจจากล่างขึ้นบน ซึ่งมันมีส่วนคล้ายกับ Anarchy อยู่พอสมควร
แต่สำหรับพวกคุณและคนอื่นๆ แน่ใจแล้วเหรอว่าจะโอเคกับการเดินเข้าหาระบบอนาธิปไตย(Anarchy) เชื่อเถอะเดี๋ยวอีกซักพักยิ่งผู้คนเริ่มเสื่อมศรัทธากับรัฐเพิ่มขึ้นก็จะทำให้เกิดพิมรี่พายคนใหม่ขึ้นมาเรื่อยๆ
แล้วพอถึงจุดหนึ่ง ระบอบมันจะพังเพราะคนหมดซึ่งแล้วซึ่งความเชื่อถือต่อระบอบเดิม ผู้คนหันไปพึ่งตนเองกับกลุ่มของตัวเองโดยที่ไม่แคร์รัฐอีก
ที่ผมด่า ที่ผมบ่น คือ ผมหวังดีนะ เพือที่จะกระตุ้นให้รัฐหันมาสร้าง Profit ตอบแทนแก่ประชาชนให้มากกว่า 100% ของที่พวกเขาได้จ่ายไป เพราะเมื่อคุณตอบแทนน้อยกว่าที่พวกเขาจ่ายไป
ผู้คนก็จะเริ่มคิดในใจว่า "ถ้าฉันไม่จ่ายให้รัฐและจ่ายให้ตัวเองไม่ดีกว่าเหรอ? เพราะอย่างน้อยฉันก็มั่นใจแน่ๆว่า ฉันจ่ายให้ตัวเองไม่น้อยกว่า 100% แน่ๆ"
ผมไม่อยากให้คนที่เชื่อใน Concept ของรัฐให้ประเทศเดินถอยหลังมาจุดนี้หรอกนะครับ เพราะมันจะทำลายระบบรัฐที่คุณเชื่อไปเสียเอง
ปล.ผมไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการกระทำของพิมรี่พายนั้นดีต่อคนอื่นและเป็นคนอื่นหมู่มาก แต่ก็นั่นแหละถ้าคุณเห็นด้วยและสนับสนุนพิมรี่พายนั่นเท่ากับขาข้างหนึ่งก้าวเข้าไปในระบอบอนาธิปไตยแล้ว
ถ้าคุณไม่อยากให้เกิดระบอบอนาธิปไตย เราควรจะตักเตือนรัฐให้พึงกระทำพันธกิจที่พวกเขาจะต้องกระทำ แทนที่จะให้เอกชนอย่างพิมรี่พายทำเอง
คือการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการเงินภาษีให้มันออกมาดีกว่านี้อย่างน้อยก็ต้องไม่ต่ำกว่า 100% ที่ประชาชนเขาจ่ายไป
อันนี้ผมพูดไม่ใช่เรื่องการเมืองในเชิงประวัติศาสตร์นะ ออกแนวไปในทางวิชาการเมืองในรูปแบบของหน้าที่และสิทธิพลเมืองเสียด้วยซ้ำ
ถ้าไม่ห่วงจุดนี้ ผมไม่เตือนหรอกครับ แถมผมปล่อยไปบางทีมันอาจจะดีต่อฝ่ายผมยิ่งกว่าเสียด้วย เพราะการทำจาก Anarchy มาเป็น Direct Democracy ยิ่งง่ายกว่าเดิมเสียอีก