การอัพสายมืดจนต้านข้อเสียไม่มีผล
กับอัพสายแสงโดยใช้ exp ระดับเดียวกัน
มันก็โหดทั้งคู่นั่นแหล่ะ
แค่สายมืดมันดูน่าค้นหากว่าสายแสง
ไม่เชื่อก็ลองดูหน้าหนังสือพิมพ์สิ
ระหว่างข่าวด้านมืดกับสว่าง อันไหนขึ้นหน้า 1 มากกว่ากัน
ฮาใช่ครับ เกมส์สตาวอส์ทีซิธเยอะกว่าเจไดมาก
ผมเห็นด้วยครับที่ว่าระดับเท่ากันอาจไม่ต่างกันมากระหว่างสายสว่างกับมืด
แต่ปัญหาอยู่ตรงคำพูดที่ว่า ง่ายกว่า ยั่วยวนกว่าของโยดานั่นล่ะครับ
เพราะการเก็บ exp เทียบกับโลกความจริง สายมืดจะเก็บง่ายกว่าสายสว่างหลายเท่า ทำให้เก่งไม่ทันสายมืดและเป็นผลให้เกิดเหตุการณ์บอสของเรื่องต่างๆขึ้นมา
เปรียบเปรยคือพวกที่เป็นบอสนั้นเล่นสายมืด ที่exp ขึ้นเร็วแล้ววางแผนการเล่นมาอย่างดีราวกับเปิดสูตรเก็บเลเวลที่ได้ผลมากที่สุด จนเลเวลนำหน้าชาวบ้านจนไม่มีใครสู้ได้
ในขณะที่สายสว่าง expขึ้นช้ากว่าทำให้ด้วยเวลาเท่ากันสู้ไม่ได้
ผมลองศึกษาพวกไทป์มูน ที่เอาแบบมาจากtable top role playing
ที่พยายามสร้างความสมดุลย์ในจุดนี้ไม่ให้คนเลือกเล่นสายมืดโกงได้แบบเกมส์ออนไลน์ ที่สายมืดมีดีต่อการเก็บเลเวลไม่มีผลกระทบใดๆ
แต่Role playing ทำให้คนเล่นสายมืดต้องมีข้อจำกัดการตัดสินใจในการดำเนินเนื้อเรื่อง เช่นตัดสินใจฆ่าคน ดูดเลือดได้พลังมากขึ้น แต่ก็จะเสียแต้มความเป็นมนุษย์ทำให้การเล่นเกมส์ภายหลังจะตัดสินใจละเว้นชีวิตคนอื่นได้ยากขึ้น
...แต่ก็อย่างที่บอกล่ะครับ นั่นนับเป็นข้อเสียต่อพวกที่ครึ่งๆกลางๆเท่านั้น กับคนที่มองไปจนสุดทางจะเห็นแต่ผลประโยชน์แล้วคิดว่า ฆ่าก็ฆ่าสิ ดูดเลือดแล้วได้exp มากขึ้นและรวมไปถึงสกิลของคนที่เราดูดเลือดด้วย
เรียกว่าแม้กระทั่งrole playing ที่พยายามสื่อให้เห็นถึงผลร้ายของการเข้าด้านมืดก็ยังไม่มีผลต่อคนที่พร้อมจะไปให้สุดทางไม่มีความลังเลในการใช้จนกลายเป็นมาสเตอร์แวมไพร์โดยเร็วที่สุด
ในความหมาย ของด้านมืดของพลัง น่าจะหมายถึง การได้พลังหรืออำนาจ มาก็มักจะมีสิ่งที่ได้และสูญเสียเสมอมากว่า ไม่ว่าจะเป็น พลังอะไรก็ตาม
เช่น อะไรที่มันเคยยาก พอมีพลังมันก็จะทำได้ง่ายๆ และ มันก็เสพติดไม่อยากสูญเสียมันไป
บ้างครั้ง เพื่อ อุดมการณ์ มันก็ต้องการพลัง แต่พอพลังมันเยอะขึ้นเรื่อยๆ ก็จะเริ่มโดนมันย้อม ครองงำ ให้กลายเป็น ว่า อุดมการณ์เปลี่ยนไปบ่อยๆ
หรือ พลังที่รวบรวมมาจากคนอื่นๆ ก็กลายเป็นว่า ต้องทำตามการสนับสนุนจาก คนอื่นๆไปแทน แม้มีพลังแต่ก็เหมือนกลายเป็นแค่ตัวแทนของพลัง
บ้างครั้งมันก็มาพร้อมภาระ ที่ทำให้ ได้แต่ต้องทล้ำลึกไปเรื่อยๆ เพราะ คนอื่นๆที่เสพในอำนาจอีก
Absoulte Power,corrupted absolutely สินะครับ
เรียกว่าพลังทำให้ข้อจำกัดและกฎเกณฑ์ที่ควบคุมคนหายไป
โดยส่วนตัวผมมองว่าถ้าจะเข้าใจว่า "ด้านมืด" มันคืออะไรละก็สิ่งที่อธิบายที่ง่ายที่สุดก็คือ "อารมณ์ที่ควบคุมไม่ได้ของมนุษย์" นี่แหละ
ด้านมืดมันคือพลังก้าวขอบจิตสำนึกที่ควบคุมตัวเองได้ไปนั้นเอง พลังที่ปลดปล่อยออกไปแบบไร้การควบคุมมันจึงย่อมรุนแรงกว่าพลัง
ที่ปลดปล่อยออกไปแบบมีการควบคุม แต่มันมีข้อเสียคือจะทำให้ขาดสติยั้งคิด
ถ้าอยากจะเข้าใจง่ายๆมันก็คือ "ความโกรธ ความเศร้า ความสนุกสนาน ความกลัว" นั้นเองอารมณ์ทั้ง 4 อย่างนี้ก็คือด้านมืดของมนุษย์เรา
เมื่อเราโดนมันครอบงำเราก็จะละทิ้งเหตุผลทั้งหมด แล้วปล่อยให้สัญชาติญานเป็นตัวควบคุมจนไร้สติไป จนกว่าจะสนองความต้องการได้
ถึงจะคลายลงไปชั่วคราว
ซึ่งวิธีการจัดการมันมี 3 วิธี 1.หลังจากถูกมันกลืนกินมานานเราจะปรับตัวจนเป้นฝ่ายกลืนกินมันซะเอง 2.เข้าใจและลอยตัวเหนือจากมัน
บงการมันได้ว่าจังหวะไหนควรปล่อยจังหวะไหนควรหยุด 3.ตัดขาดจากมันไปเลย แบบแรกคือแบบที่ดาร์คซีเดียสทำถูกมันกลืนก่อนกลืนมันแทน
แบบสองนั้นคือแบบพวกตัวเอกที่ใช้พลังด้านมืดแล้วควบคุมได้ แบบสามที่เห้นชัดคือพระพุทธเจ้า
ยกตัวอย่างง่ายๆ "ความเหงา" เพราะเราโดนมันกลืนทำให้เราต้องดิ้นรนหาใครมาอยู่ด้วย แม้เราจะรุ้ว่ามันจะยุ่งและต้องเสียอะไรมากมายไป
บ้างครั้งก้ไม่คุ้มเลยแต่เราก็ยังทำเพราะเราทนไม่ได้และถูกมันกลืน แต่พอเวลาผ่านไปเราจะกลืนกินมันได้ความเหงาจะเป็นอาหารชั้นเลิศ
กลายเป็นว่าเราจะกลายเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง ไม่อยากจะอยุ่ร่วมกับใครโดยตรงอีกแล้ว(ผมเอง) แบบสองก็คือถึงจะเหงาแต่ก็ไม่ยอมให้
ตัวเองต้องสละอะไรมากมายเพื่อแก้ความเหงา รู้จักวิธีหาทางสนองความเหงามีเวลาเป็นของตัวเองและมีเวลาอยุ่ร่วมกับคนอื่น และอย่าง
สุดท้ายไม่มีความเหงาอีกต่อไปไม่รู้สึกถึงมัน จะอยุ่คนเดียวหรืออยุ่กับใครก้ได้ทั้งนั้น
อีกตัวอย่างที่ใกล้ตัวเรามากที่สุดก็คือ "ความหื่น" หรือความต้องการทางเพศที่มันจะค่อยๆกดดันให้เราขาดสติ อันเนื่องมาจากสัญชาติญาน
ในการสืบพันธุ์อันเป็นโปรแกรม(สัญชาติญาน)ที่ถูกสลักลงในสิ่งมีชีวิตของโลกนี้เพื่อคงเผ่าพันธุ์ของตน ต้องการมีเซ็กส์จนกระทั่ง
ไปข่มขืนคนอื่นเข้านัน้คือสภาพที่โดนด้านมืดกลืนนั้นเอง ถ้าเป็นแบบแรกจะกลายเป็นว่าการข่มขืนคือความสนุกไป(กลืนกินด้านมืดไปแล้ว)
ถ้าแบบสองก็จะรุ้จักการหาทางปลดปล่อยไม่ให้โดนกลืน ไม่ว่าจะช่วยตัวเอง ใช้บริการสาวคุณตัว หาแฟนมาสนอง ส่วนแบบสามจะดีสุด
แตท้ได้ยากนัน้คือลบมันไปเลย ไม่มีความต้องการทางนั้นอีกต่อไป(พระพุทธเจ้าและผุ้บรรลุอรหันถ์ทั้งหลาย)
เห็นด้วยครับ แต่ก็อย่างที่ท่านว่า คนที่เลือกวิธีแรกกลายเป็นบอส อย่างที่สองคือคนธรรมดา อย่างที่สามคืออรหันต์
ผมเคยอ่านบทความเถียงกันคือ คนมองว่าซีเดียสก็มีความสุขดีกับสิ่งที่ตนเองทำดูไม่ทุกข์ร้อนอะไร
พวกเอ็มไพร์แฟนบอยคิดกันอย่างนั้นน่ะครับ ฮา
คือสมัยนี้คนมองการมีพลังแบบเดียวกับระบบเกมส์ในนิยายต่างโลกต่างๆ ผมเลยมีคำถามข้อนี้มาเพราะเคยเภียงกับคนในบอร์ดอื่นน่ะครับ
เหตุผลเขาก็ประมาณว่าfree will จะมีfree will ไปทำไม คนเรามีfree willแต่ไม่มีใครใช้มันตลอดเวลา ทุกคนทำตามธรรมชาติของตนเองก็มีชีวิตอยู่ไพ้ตามปกติ free willรือของขวัญจากพระเจ้าที่คนเลือกทางของตนเอง
สามารถเลือกทางที่ต่อต้านธรรมชาติและเปลี่ยนแปลงตนเองได้ ...แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนใช้มัน
คนที่ไม่ใช้free willคือคนที่เปลี่ยนตนเองเป็นmonsterทำตามสัญชาตญาณ แต่ปัญหาคือพวกนี้ได้รางวัลตอบแทนจากการทำตามสัญชาตญาณนั้นเป็นพลังที่มากขึ้น
ไม่ได้หมายความว่าคนที่เข้าด้านมืดจะมีชีวิตที่ไม่มีความสุข คนที่ไม่มีความสุขคือคนที่อยากเปลี่ยนแปลงตนเอง
แต่คนที่พอใจในตนเองแล้วก็เรียกว่ากลืนกินด้านมืดได้เสียเองแบบซีเดียส
มันเหมือนกับเป็นด้านตรงข้ามกับคติ "พอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่"ของด้านสว่างน่ะครับ
คนนั้นยกตัวอย่างRe:Monster ด้วยล่ะครับว่าคนที่กินซากศพคนที่น่าจะเป็นแม่ตนเองได้มองทุกอย่างเป็นอาหารนั้นทำให้เก่งขึ้นอย่างมาก และไม่มีตรงไหนที่สื่อว่าพระเอกไม่พอใจในสิ่งที่ตนเองเป็นอยู่และการกระทำของเขามีผลตอบแทนคือพลังที่มากขึ้นเรื่อยๆ
ผมดูนิยายของกิมย้งเขาอธิบายในเรื่องด้านมืดของพลังว่า การที่จะศึกษายอดวิชาในเส้าหลินต้องเรียนพระธรรมควบคู่ไปด้วยเพราะว่าเมื่อมีพลังอำนาจมากถ้าไม่มีศีลธรรมคอยยึดเหนี่ยวจิตใจ จะทำให้เหลิงและกระทำความผิดได้ง่าย ผมคิดว่าเขาต้องการสื่อแบบนี้นะ
ใช่ครับมีการบอกประมาณว่า ไม่ให้ภิกษุบางคนฝึกเพราะจะรบกวนการบำเพ็ญภาวนา มีวรยุทธอาจจะทำร้ายตนเองได้เพราะความหมกมุ่นกับวรยุทธนั้น
แต่ด้านมืดตอบแทนดีกว่า กระทั่งศิษย์ของมหาสมาณะใบไม้แดงได้เคล็ดบางส่วนจากคัมภีร์ทานตะวัน กลายเป็นกระบี่พิชิตมาร
ลิ้มเพ้งจือจากต็อกต๋อยสู้งักเล้งซังไม่ได้ กลายมาเป็นฆ่าล้างสำนักแก้แค้นได้
ท่านอาจจะมองว่าเหล็งฮู้ชงก็ฝึกด้านสว่างอย่างกระบี่เดียวดาย แต่ความจริงแล้วผมมองว่าคนฝึกเก้ากระบี่ต้องมีค่าint กับwis สูงมาก
ความฉลาดของเหล็งฮู้ชงกระทั่งฟงชิงหยางยังตกใจ ทั้งความจำและความคิดสร้างสรรค์
ไม่ใช่ของที่ใครก็ฝึกได้
ต่างกับเพลงกระบี่ปราบมารที่ฝึกง่ายขอเพียงผ่านขั้นแรก สบัดกระบี่ตอนตนเอง
คนอาจจะไม่ทันนึกถึงเพราะเหล็งฮู้แกเล่นบาดเจ็บตลอดเรื่อง แต่แกเป็นอัจฉริยะในเชิงกระบี่ตั้งแต่เล็ก พยายามคิดท่ากระบี่ขึ้นมาด้วยตนเองตั้งแต่เด็ก(แม้ยังสู้เพลงกระบี่ของปรมาจารย์ไม่ได้แต่ผมเห็นว่าความคิดสร้างสรรค์มีมาตั้งแต่เด็ก) มองเห็นภาพวาดในผนังถ้ำก็มองเพลงกระบี่และทางแก้ออกและเป็นอาจารย์สอนกระบี่ที่เก่งมากด้วย
คือผมมองว่าเก้ากระบี่ไม่ใช่วิชาที่เรียกได้ว่ามาตรฐานน่ะครับ